ประสบการณ์สุดมันส์ในอเมริกา

ระวังภัย ใบสั่ง (Ticket)

การขับรถในอเมริกา ถือเป็นเรื่องที่ทำให้คนไทยที่เพิ่งมาที่นี่ค่อนข้างสับสนอยู่พอสมควร อาจจะเรื่องของเลนส์ของถนน หรือพวงมาลัยคนขับที่ตรงข้ามกับไทย, กฎจราจร และ ป้ายจราจร เต็มไปหมด ไม่รู้ว่าเป็นโชคดีหรือโชคร้ายของเรา ที่ไม่เคยมีรถตอนที่อยู่เมืองไทย แต่ก่อนมาอเมริกา ก็ไปเข้าคอร์สเรียนขับรถพอเป็นพิธี ขับยังไม่คล่องเลยค่ะ  แต่ก็ผ่านการสอบใบขับขี่ และได้ใบขับขี่สากลมาเชยชมจนได้

เรามาอยู่รัฐเวอร์จิเนีย มันเป็นเรื่องจริงอย่างหลายๆคนที่นี่พูดค่ะ ว่าถ้าไม่มีรถ ก็เหมือนไม่มีขา เรามาอยู่ในแถบชานเมืองเสียอีก ซึ่งแน่นอนว่าจำเป็นต้องใช้รถในการเดินทาง แต่จะว่าไปรถบัสประจำทางที่นี่ก็มีนะค่ะ แต่มีคนใช้บริการน้อยมากๆ และนานน๊านจะมาที(แต่ก็ตรงเวลา) ส่วนรถไฟฟ้าจะมีก็แถวตัวเมืองใกล้ Washington DC นั่นหล่ะค่ะ

ตอนเราเริ่มขับรถที่ในอเมริกาใหม่ๆ ใช้เวลาไม่กี่วันค่ะก็เริ่มคล่อง และชินเส้นทาง อาจจะเพราะโชคดีที่ไม่สับสนเรื่องเลนส์ และกฎหมายที่นี้เค้าจะไม่อนุญาติให้ขับไว จะมีการควบคุมความเร็ว (Speed Limit) ตลอดเส้นทาง มากน้อย แตกต่างกันค่ะ เราอยู่ในเขตที่เค้าอนุญาติให้ขับได้ไม่เกิน 25 หรือ 35 ไมล์/ชม แค่นั้น มันเลยเข้าทางนักขับมือใหม่อย่างเรา ตอนนั้น เราใช้ใบขับขี่สากลในการขับค่ะ (International Driver License)  แต่เพิ่งมารู้ทีหลังว่าเค้าไม่อนุญาติให้คนที่มีเพียง ใบขับขี่สากลขับรถได้ในรัฐเวอร์จิเนีย จะขับรถได้จริงๆก็ต้องได้ใบขับขี่ของรัฐเวอร์จิเนียก่อนถึงขับได้  แต่เราก็ไปสอบใบขับขี่หลังจากที่เข้าเดือนที่ 2 ของการมาอเมริกา (ก็ถือว่ารอดตัวไป)

ใครมาอเมริกาก็จะรู้ค่ะว่า เป็นประเทศที่เหมาะสำหรับการขับรถเที่ยวเป็นอย่างมาก เป็นสวรรค์ของคนชอบขับรถท่องเที่ยวจริงๆ ระบบการจราจรที่นี่ดีมาก รวมทั้งโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ก็เอื้ออำนวยให้ขับรถได้อย่างสบาย  แต่มีอยู่อย่างนึงที่ทำให้การขับรถที่นี่อาจเป็นนรกของใครหลายๆคน รวมถึงเราด้วย เพราะที่นี่ ตำรวจจะเข้มงวดมากๆ ใครทำผิดกฎนิดๆหน่อยๆ มีหวังถูกให้ใบสั่ง (Ticket) แน่ (คนไทยหลายๆคนที่มาใช้ชีวิตอยู่อเมริกามักมีประสบการณ์ได้รับใบสั่งจากตำรวจจราจรมาแล้วทั้งนั้น จนมีเรื่องเม้าท์กันว่า ถ้ายังไม่ได้ใบสั่งแสดงว่ายังมาไม่ถึงอเมริกา55 )

เราเป็นคนนึงที่ได้ใบสั่งจากตำรวจมาแล้วหลายใบ (ทั้งเจ็บใจ เสียตางค์ และค่าประกันรถที่เพิ่มขึ้นอย่างมากด้วย)

ใบแรกที่ได้เป็นเพราะความคุ้นเคยเส้นทาง จำได้ว่าวันนั้นเราขับไปซื้อของ เรามักจะใช้เส้นทางนี้ตลอด ไม่เคยมีปัญหาอะไร ด้วยความที่บรรยากาศเย็นสบาย ทางก็โล่งมาก ไม่มีรถสวนมาเลย เลยขับรถกินลมชมวิวไปเรื่อยๆ แต่เอ๊ะ!!!! ขับรถลงเนินซักพักก็เจอชายฉกรรจ์ ชุดดำ ยืนถืออุปกรณ์อะไรไม่รู้อยู่แต่ไกล  เมื่อเราขับรถไปใกล้ๆๆ โอ้ แม่เจ้า เป็นตำรวจนี่เอง! 

แกเรียกให้จอดรถข้างทาง ด้วยความที่ใสซื่อบริสุทธิ์ไม่เคยมีใครมาเรียกให้จอดรถอย่างนี้มาก่อน เลยถามเจ้าหน้าที่ตำรวจไปว่า What’s wrong ????? and  No Speak English (คนไทยหลายๆคนที่รู้จักให้พูดแบบนี้เมื่อเจอตำรวจ) แต่ไม่ได้ผลค่ะ ตำรวจเริ่มชักสีหน้าและทำท่าดุ พูดเสียงดัง เค้าถามประมาณว่า ยูรู้มั้ย ยูทำอะไรผิด???? เราหน้าซีดเผือด และตอบไป “I don’t know and No Speak English”  ตำรวจเริ่มเสียงดังขึ้น แต่ยังถามเหมือนเดิม ยูรู้มั้ย ยูทำอะไรผิด? เราก็ได้แต่ตอบไปเหมือนเดิมเช่นกัน “I don’t know and No Speak English”  ตำรวจเห็นถ้าไม่ได้การแล้ว ก็เลยโชว์เจ้าเครื่องที่ใช้ส่องรถเราให้ดูว่า ยูขับรถ 47 ไมล์ ถนนเส้นนี้ให้ขับได้ไม่เกิน 35 ไมล์ อุ แม่เจ้า!!!! เราขับเกินลิมิตมา 12 ไมล์   คุณตำรวจตัวใหญ่ ใจร้าย เลยให้ใบสั่งสีเหลือง ไว้เป็นที่ระลึก และกำชับชะด้วยค่ะ ว่าให้เข้าไปเชคข้อมูลตามในเว็บที่แนบมาในใบสั่งสีเหลืองนี้

ไม่น่าเชื่อว่าการได้ใบสั่งใบแรกที่อเมริกา จะทำให้เรากินไม่ได้นอนไม่หลับอยู่หลายวัน คอยกังวลว่าต้องจ่ายเท่าไหร่ และต้องขึ้นศาลมั้ย????  เราเข้าไปเช็คข้อมูลในเว็บที่คุณพี่ตำรวจบอก  ช่วงแรกๆข้อมูลของเรามันยังไม่ขึ้นค่ะ ต้องรออยู่หลายสัปดาห์ และผลปรากฎว่า ต้องจ่ายค่าปรับ 122 ดอล ทำเอาเราเข่าอ่อนเลยทีเดียว พยายามบอกตัวเองว่าขอให้ใบนี้เป็นใบแรกและใบสุดท้ายเทอญ!!!!

หลังจากนั้นไม่ถึง 6 เดือน เราก็ถูกยัดเยียดใบสั่งใบที่สองจากคุณพี่ตำรวจอีก

คราวนี้เกิดขึ้นระหว่างทาง บอสตัน-ไนแองการ่า ถนนเส้นนี้สามารถขับเร็วได้มากสุด 70 ไมล์/ชม ในระหว่างทางมีรถบรรทุกขนาดใหญ่หลายลำ ขับอยู่เลนส์ขวามือ เราจึงตัดสินใจแซงรถบรรทุกเหล่านั้น แต่เคราะห์ร้ายก็เกิดขึ้นอีกซ้ำแล้วซ้ำเล่า เมื่ออยู่ดีๆๆก็มีรถคันใหญ่คันนึง มองดูแล้วไม่ใช้รถบรรทุกแน่นอน เพราะขับจ่อท้ายเรามาและเปิดไฟแสงสีกระพริบ เหมือนเป็นสัญญาณให้เต้น เฮ้ย!!!! ให้หยุดรถ  รถคันนั้นเป็นรถตำรวจนั่นเอง  รออยู่ในรถซักพัก กว่าคุณพี่ตำรวจจะมาแสดงท่าวางกล้ามให้ดู  แล้วก็ขอดูใบขับขี่ของเรา พร้อมทั้งบอกว่า ยูขับรถเกินมา 10 ไมล์ แล้วก็ยื่นไอ้เจ้าใบสั่งสีเหลืองที่คุ้นตาให้อีก สถานการณ์ในรถเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ ทุกคนเงียบกริบ ต่างจากก่อนหน้านี้ทุกคนในรถดูสนุกสนาน และพูดคุยกันอย่างเมามันส์

หลังจากกลับมาจากเที่ยวแล้ว ก็มารอลุ้นหน้าจอคอมพิวเตอร์ว่าคราวนี้จะต้องจ่ายเท่าไหร่ ผลปรากฎว่า ต้องจ่าย 100 ดอลถ้วน (เฮ่ย !!! ต้องมาเสียเงินกับเรื่องนี้อีกแล้ว)

จากการที่เราได้มาแล้ว 2 ใบสั่ง ก็เลยระมัดระวังตัวมากขึ้น และก็พยายามบอกเตือนเพื่อนๆหลายคนให้ระมัดระวังเรื่องการขับรถในอเมริกาด้วย (คนที่ไม่เคยโดนกับตัวไม่รู้หรอกค่ะว่ามันช่างโหดร้ายขนาดไหน)

ผ่านมาอีกปี ไม่มีเรื่องปัญหาการขับรถมากวนใจ นอกจากว่า ต้องคอยบำรุงซ่อมแซมน้องแดง รถขับแรงมือสอง คู่ใจ ใครจะคิดหล่ะค่ะว่า จะเกิดประวัติศาตร์ซ้ำรอยอีกจนได้

วันนั้นเป็นวันที่เราและเพื่อนๆ ขับรถไปรับรุ่นพี่คนนึง จุดมุ่งหมายเพื่อรับพี่คนนี้ไปเที่ยวในดาวน์ทาวน์ดีซี หลังจากที่ได้ทัวร์รอบๆดีซี และอิ่มหนำสำราญจากการทานดินเนอร์แล้ว ก็มาถึงเวลาพาพี่คนนี้กลับไปส่งที่บ้าน ขากลับประมาณ 4 ทุ่ม ทางค่อนข้างเปลี่ยว และมืดมากค่ะ (ในบางจุดถนนหนทางที่นี้จะไม่มีไฟติดตามถนนเหมือนบ้านเราค่ะ เนื่องจากบางจุดสัตว์ป่ายังเยอะอยู่ เค้าคงไม่อยากให้มีไฟตามทางไปรบกวนสัตว์เหล่านี้ )

เราขับรถมาตามถนน สังเกตุได้ว่าไม่ค่อยมีรถวิ่งสวนกันเลย จะมีแค่รถคันข้างหน้าและรถเราเท่านั้น  ขับมาตามถนนซักพัก ก็เห็นรถตำรวจจอดเปิดไฟกระพริบมาแต่ไกล ในใจคิดว่าตำรวจคงกำลังจับรถที่ขับเร็วอยู่  เมื่อเราขับผ่านตำรวจมาได้ซักพัก เอ้า!!!!! รถตำรวจที่จอดอยู่กลับวิ่งตามรถเราซะงั้น  โอ้ มาย กอสส!!!! เราก็ไม่ได้ขับเร็วนี่นา ถนนเส้นนี้ขับได้มากสุด 55 ไมล์/ชม แต่เราขับรถความเร็ว ต่ำกว่า 50 ด้วยซ้ำ  แต่ด้วยความที่เค้าวิ่งตามรถเรามาติดๆๆ เลยต้องจอดตามกฎที่นี่ ด้วยความงุนงง คุณพี่ตำรวจรูปร่างเตี้ย ล่ำ เดินเข้ามาตะคอกใส่ว่า ยูรู้มั้ยทำไมไอถึงเรียกยูให้จอด เราตอบกลับไปว่า “ชั้นไม่รู้ รู้แต่ว่าชั้นขับรถไม่เกินที่กำหนด”   งั้นยูเอาใบขับขี่มา พร้อมกับตะคอกใส่ว่า ยูขับรถผ่านไอแล้วทำไมยูไม่ชะลอ  โอ้!!! มีกฎแบบนี้ด้วยหรือว่ะ ขับรถผ่านตำรวจต้องชะลอเหลือ 35   คุณพี่ตำรวจไม่ปราณี พร้อมให้ใบสั่งมาเป็นที่ระลึก

และแล้วเราก็ได้ทำแฮตทริก เหมาทีเดียว 3 ใบรวด  กลับมาถึงบ้าน ยังทำใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ได้ กลับมาค้นดูในหนังสือสอบใบขับขี่ว่ามีกฏแบบนี้มั้ย  มันก็ไม่มีนี่นา?? ไปถามผู้ใหญ่หลายคนก็เลยถึงบางอ้อว่ามันเป็นกฏหมายใหม่ ที่ออกมาช่วงต้นปี ว้า!!!แล้วใครจะรู้หล่ะ เราเชื่อว่าหลายคนอาจจะยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีกฏหมายนี้ด้วย  (ได้แต่นึกในใจ ทำไมตำรวจที่นี่ไม่เอาเวลาไปจับผู้ร้ายว่ะ มัวแต่มานั่งคอยจับผิดคนขับรถซึ่งผิดพลาดนิดๆหน่อยๆ สงสัยคงว่างมากๆๆ เลยหาเรื่องทำผลงานให้ตนเอง)


ใบสั่งจากตำรวจคราวนี้เแปลกกว่า 2 ครั้งแรกคือ มันไม่มีข้อมูลเราขึ้นมาแม้แต่น้อย คอยเช็คอยู่หลายเดือนแล้วก็ไม่ขึ้นมาซะที สุดท้ายต้องโทรไปถาม ได้ความว่า ไม่สามารถจ่ายเงินออนไลน์ได้ เคสนี้ต้องขึ้น ศาล สถานเดียว

และแล้ววันนั้นก็มาถึง วันที่ต้องขึ้นศาล เป็นครั้งแรกในชีวิต ผู้คนมากมายหลายเชื้อชาติมานั่งรอในห้องพิจารณาคดี มันก็ทำให้เราอุ่นใจขึ้นมามั้งว่า มีคนร่วมชะตากรรมเดียวกับเราเป็นจำนวนมาก เราได้คิวท้ายๆ ทำให้เห็นหลากหลายคดี ซึ่งแต่ละคดีหนักหนาเอาการอยู่ เช่น ชนคน หรือ เมาแล้วขับ และก็มีอีกหลากหลายคดีที่ไม่น่าได้ใบสั่งเล้ย!!!  หลายคดีที่รอดจากการถูกจ่ายค่าปรับก็มี เช่น เจ๊ฝรั่งอเมริกัน โดนข้อหาฝ่าไฟแดง แต่ไม่น่าเชื่อค่ะ เจ๊แกรอดตัวมาได้ จากการอ้างว่าลูกไม่สบาย หนักมาก เลยต้องรีบพาไปหาหมอด่วนที่สุด  ถือว่ารอดมาได้แบบหวุดหวิดจากการออดอ้อน และเสียงสั่นเครือ

คนในห้องเริ่มบางตา แล้วก็มาถึงคิว พนักงานเรียกชื่อเรา ตอนนี้ใจมันเริ่มเต้นไม่เป็นปกติ มือไม้เริ่มสั่น ขึ้นไปยืนที่โพเดี่ยมที่มีไมโครโฟนติดด้วย คุณพี่ตำรวจคนเดิมที่คุ้นหน้าคุ้นตามายืนอยู่อีกด้านหนึ่ง ก่อนการไต่สวน เค้าก็ให้เราสาบานก่อนเลยว่าจะพูดความจริง

คำถามแรกถามว่า รู้สึกผิดมั้ยกับการกระทำที่ทำลงไป  เราก็ตอบไปว่า ไม่ค่ะ เพราะอยากจะอธิบายให้ผู้พิพากษาฟังซะเหลือเกิน  ผู้พิพากษาก็ให้เล่าว่าเหตุการณ์เป็นอย่างไร แล้วจากนั้นก็หันไปถามคุณพี่ตำรวจว่าเรื่องราวเป็นอย่างไร ทำมั้ยต้องให้ใบสั่งด้วย  พี่ตำรวจก็เล่าให้ผู้พิพากษาฟังว่า เราขับรถด้วยความเร็วและไม่ชะลอเมื่อผ่านรถเค้า แถมยังเปลี่ยนเลนส์ ซึ่งดูท่าทางพิรุธอีก  โอ้!!!เล่นมุกนี้อีก ผู้พิพากษาก็หันมาถามเราว่าทำไมถึงต้องเปลี่ยนเลนส์ด้วย เราจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเปลี่ยนเลนส์ ทำเอาเราอิ้งอยู่พักใหญ่ แล้วตอบไปว่า “ชั้นคิดว่าคุณพี่ตำรวจอาจจะปฏิบัติภารกิจอยู่ข้างหน้า เลยเปลี่ยนเลนส์ ”  ท่าทางผู้พิพากษาตั้งใจฟังเราพูดมาก ถึงแม้ว่าตอนนั้นเรามือไม้สั่น พูดผิดๆถูกๆก็ตาม  เค้าก็ถามคำถามเราและตำรวจ อีกซักพัก

หลังจากนั้นผู้พิพากษาก็ตัดสินค่ะ ผลก็คือกินแห้ว แพ้คดีไปตามระเบียบ ต้องจ่ายค่าปรับและค่าขึ้นศาลรวมกันแล้ว แม่เจ้า!!! เลขสวย 222 ดอล หลังจากออกมาจากห้องพิพากษาแล้ว ถึงกับทรุด น้ำหูน้ำตาไหลออกมาไม่หยุด ไม่รู้ทำเวรทำกรรมอะไรไว้ถึงได้เจอแต่เรื่องแบบนี้

ใช้เวลานานพอสมควรค่ะ ถึงได้ตั้งหลักขึ้นมาใหม่ได้  คราวนี้ต้องลองใช้วิธีทางธรรมะเข้ามาแก้ไข ไม่ว่าจะเป็นทำบุญทำทานมากขึ้น หาเครื่องรางของขลังมาไว้ติดตัว หวังว่าจะทำให้เพิ่มกำลังใจและป้องกันภัยใบสั่งได้อีกทางนึง

2ปีต่อมา ชีวิตในอเมริกาก็ดูราบรื่น และ ไม่มีปัญหาเรื่องรถมากวนใจ  และแล้วภัยอันตรายที่ไม่อยากให้มาเยือนก็เกิดขึ้นอีก

คราวนี้ขับรถไปรับเพื่อนๆในดีซี ช่วงตี 1 เนื่องจากเพื่อนๆกลุ่มนี้เพิ่งกลับมาจากการไปเที่ยวที่นิวยอร์ก เราอาสาไปรับที่ในดีซี ระหว่างทางขากลับ ในช่วงที่รถเราจอดติดไฟแดงอยู่นั้น มีรถคันนึงจอดขนาบข้างทางด้านซ้าย เมื่อไฟจราจรเป็นสีเขียวแล้ว เราก็ขับรถตรงไปตามถนน แค่เสี้ยววินาที อยู่ดีๆๆรถที่จอดขนาบข้างเมื่อตะกี๊ กลับมีไฟกระพริบเป็นสัญญาณเตือนให้จอดรถอีก

และแล้วรถคันนี้ก็เป็นรถตำรวจนั่นเอง คราวนี้ตำรวจเป็นผู้หญิงค่ะ ลงมาขอใบขับขี่จากเรา แล้วบอกว่า รถยูเกือบจะชนรถชั้นแล้ว!!!! เอ้า!!!! กำลังจะชนตอนไหนว่ะไม่เห็นรู้เรื่องเลย เรายังอยู่ในอาการตกใจและทำใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นยังไม่ได้ แต่ก็อยากจะรู้จริงค่ะ ว่า “แล้วชั้น ขับรถผิดกฎยังงัยหล่ะ”  คุณพี่ตำรวจหญิงก็ได้แต่ตะคอกพูดแบบเดิมว่า “รถยูเกือบจะชนรถชั้นแล้ว”  เอ้าเซนต์ ตรงนี้ พร้อมกับให้ใบสั่งสีเหลืองที่คุ้นตา มาเป็นของฝาก เพื่อตอกย้ำอีกใบ เราเข้าใจว่าในช่วงที่ขับตรงผ่านไฟแดงมานั้น  เราคงไปขับชิดรถด้านข้างมากไปซึ่งเป็นรถตำรวจ (ถึงคราวซวย!!!)  ถนนที่นี่ต้องระวังนะค่ะ เพราะบางทีเราขับตรงไปแต่ทางข้างหน้า ในบางช่วงถนนจะค่อนข้างซับซ้อน ต้องเบี่ยงซ้าย หรือขวานิดหน่อย ไม่ได้เป็นแนวตรงตามที่คิดนะค่ะ คนที่ไม่ชินทางโอกาสผิดพลาดแบบนี้มีมากค่ะ

      รูปข้างล่างนี้เป็นตัวอย่าง ticket ใบล่าสุดค่ะ รูปร่างแบบนีหละที่ตำรวจเค้าจะให้ ถ้าเราทำอะไรผิดค่ะ

สรุปแล้ว 2 ใบสั่งจากการขับรถเกินกว่าที่กำหนด  (Speed Limit Ticket) ค่าปรับ 122 และ 100 ดอล
 1 ใบสั่งจากการขับรถแล้วไม่ชะลอเมื่อผ่านรถตำรวจ ค่าปรับ 222 ดอล
 1 ใบสั่งจากการขับรถเบียดรถตำรวจ ค่าปรับ 98 ดอล
และใบสั่งจากการจอดรถผิดที่อีก ค่าปรับประมาณ 30 ดอล

และเรายังได้อยู่ในเหตุการณ์ตำรวจให้ใบสั่ง อีก 2 ราย คือ รายแรกคนรู้จักเราเป็นคนขับ สัญญานไฟจราจรกำลังเปลี่ยนจากเหลืองเป็นสีแดง ด้วยความเคยตัวขับที่เมืองไทย คุณพี่คนนี้ขับรถเร่งอย่างเร็ว เพื่อให้ผ่านไฟแดงไปได้ แต่เวรกรรม ไฟเปลี่ยนเป็นสีแดงในช่วงเสี้ยววินาที  ตำรวจที่ซุ่มอยู่ก็ตามติดๆมาเลยค่ะ พร้อมให้ใบสั่ง 2 ใบคือ ฝ่าไฟแดงและไม่มีใบขับขี่ในเวอร์จิเนีย สรุปเสียค่าปรับรวมกัน 300 กว่า ดอล

รายที่สอง เพื่อนเราจะไปสนามบิน แต่ด้วยความที่รถติดมากในช่วงเวลานั้น เค้าเลยตัดสินใจลักไก่แซงซ้าย โดยขับรถทับเส้นสีขาว ซึ่งเป็นเขตไม่อนุญาติให้ขับผ่านได้ เมื่อลงทางไฮเวย์  โชคร้ายตำรวจดักรอตรง ทางลงพอดี เห็นรถหลายคันโดนตำรวจเรียกเหมือนกัน สรุปจ่ายค่าปรับ 100 กว่าบาท

และอีกกรณีที่เด็กนักเรียนไทยในเมรี่แลนด์ เวอร์จิเนีย และดีซี เจอกันเยอะ คือ ถนน Rout 66 ถนนเส้นนี้ในบางช่วงเวลาจะเป็นเวลาของ HOV เลนส์ค่ะ คือ รถที่จะวิ่งผ่านที่นี้เวลานี้ได้ต้องมีผู้โดยสาร 2 คนขึ้นไป  หลายคนคงนึกขำว่ามีกฎหมายแบบนี้ด้วยเหรอ มีจริงๆค่ะ มันช่าง Amazing America!!!!จริงๆ  มีการกำหนดคนนั่งมาในรถด้วยถึงจะใช้ถนนเส้นนี้ได้ มาเดี่ยวๆ มีสิทธิโดนใบสั่ง ฟันธง!!!!

ในอเมริกาขับรถได้ง่ายและสะดวกสบายก็จริง แต่ก็แฝงไปด้วยความน่ากลัวจากภัยใบสั่งจากตำรวจ ที่จะเฝ้าตามทุกหนทุกแห่ง  อย่าคิดนะค่ะว่าถนนที่แทบจะไม่มีรถวิ่งผ่านเลยจะไม่มีตำรวจซุ่มอยู่ ตำรวจที่นี่พรางตัวเก่งค่ะ บนถนนไฮเวย์ รถตำรวจก็จะทำให้เหมือนกับรถทั่วไปค่ะ จะมารู้อีกทีตอนเปฺิดไฟกระพริบ สีสันสวยงามอยู่ในรถนั่นแหละ ถึงจะรู้ว่าเป็นรถตำรวจ  หรือบางถนนไม่ต้องมีเจ้าหน้าที่ตำรวจมาคอยดูก็ได้ เพราะตามแยกต่างๆ เค้าจะมีการติดตั้งกล้องวงจรปิดไว้  วันดีคืนดี ขับรถเพลินเกินสปีดลิมิต ,ฝ่าไฟแดงเข้า หรือไม่หยุดรถบริเวณ Stop sign มีหวังได้ใบสั่งส่งตรงมาถึงบ้าน

ดังนั้นอยากฝากเตือนคนไทยในอเมริกาว่าอย่าประมาทนะค่ะ การขับรถในอเมริกาต้องพยายามทำตามกฏระเบียบค่ะ ตำรวจอเมริกาเข้มงวดมาก และไม่ใจดีเหมือนคุณพี่ตำรวจบ้านเรา ที่อลุ่มอล่วย ใจดีกว่าเยอะ จริงมั้ย??? อย่าเอาเงินที่ทำด้วยหยาดเหงื่อและแรงกายหลายวัน มาจ่ายให้กับ ค่าใบสั่งใบเดียว

ต้องขับรถอย่างปลอดภัย และที่สำคัญต้องมีสติในการขับรถค่ะ (เราก็ต้องคอยย้ำซ้ำๆๆๆกับตัวเองด้วย และ หวังว่าจะเป็นใบสั่งใบสุดท้ายสำหรับเรา สาธุ!)ใครมีปัญหาเรื่องการได้ใบสั่งในอเมริกาก็เขียนมาระบายได้นะค่ะ

หวังว่าเรื่องราวของเราจะเป็นอุทาหรณ์ให้กับคนไทยหลายๆคนในอเมริกา จะได้เตรียมตัวและป้องกันไว้  อย่าให้เป็นเหมือนเรา

ขอให้ทุกคนโชคดีค่ะ


Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *