สัพเพเหระในอเมริกา

เมื่อถึงเวลาย้าย

เมื่อถึงเวลาย้ายเมื่อถึงเวลาย้าย-คนที่อยู่ในสหรัฐอเมริกาจะย้ายที่อยู่กันบ่อยๆค่ะ ไม่ว่าจะเป็นคนในวัยหนุ่มสาว นักศึกษา หรือ คนที่เพิ่งจะเริ่มต้นวัยทำงาน หรือ แม้แต่ในวัยผู้ใหญ่ที่มีครอบครัวแล้ว นี่ก็เพราะว่าอาชีพการงานทำให้คนเราต้องย้ายตามที่ทำงานไปเรื่อยๆ

แม้แต่ตัวเองตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ในปี 2001 ก็ย้ายที่อยู่มาแล้วถึง 7-8 ครั้ง ทั้งย้ายระหว่างอพาร์ทเม้นต์ในเมืองเดียวกัน ย้ายข้ามรัฐ ไปจนถึงย้ายข้ามประเทศก็รวมอยู่ในนี้ค่ะ ในการย้ายแต่ละครั้งส่วนใหญ่ก็จะมีเหตุผลแตกต่างกันไป ที่จริงก็เกริ่นๆไปในบทความเกี่ยวกับประสบการณ์ซื้อบ้านไปบ้างแล้ว แต่เท่าที่เคยเห็นนักเรียนทหารที่เคยสอนมามักจะมีปัญหาเมื่อต้องโยกย้ายกันอยู่เสมอ เพราะไม่ได้เตรียมตัวกันไว้ล่วงหน้า ก็เลยคิดว่าน่าจะเอาวิธีเตรียมตัวมาเล่าสู่กันฟังให้ละเอียดท่าจะดีค่ะ

เมื่อถึงเวลาย้ายสิ่งแรกที่ต้องเตรียมก็คือเงินสำรองสำหรับค่าใช้จ่ายต่างๆค่ะ ถึงแม้ว่าจะเป็นการย้ายด้วยเรื่องการงานและได้รับค่าขนย้ายจากนายจ้าง แต่ค่าใช้จ่ายอื่นๆที่ประดังประเดเข้ามาในช่วงที่โยกย้ายนั้นก็อาจจะมีมากถึงพันเหรียญหรือในบางรายอาจจะมากกว่านั้นก็มีค่ะ

ยิ่งถ้าการย้ายนั้นต้องเดินทางข้ามเมืองหรือข้ามรัฐ และถ้าเป็นการย้ายที่ต้องจ่ายค่าใช้จ่ายเองทั้งหมดหรือนายจ้างจะจ่ายคืนย้อนหลังแล้วล่ะก็  มันก็เท่ากับว่าเราจะต้องควักกระเป๋าเงินจ่ายค่าขนย้าย ค่าเดินทาง ค่าที่พักชั่วคราวหากยังไม่มีที่อยู่ใหม่ หรือถ้ามีที่อยู่แล้วก็ต้องมีค่าประกัน ค่าเช่าล่วงหน้า และถ้าจะซื้อบ้านใหม่ก็ต้องมีค่าผ่อนดาวน์ แล้วไหนจะค่าข้าวของเครื่องใช้ในบ้านเล็กๆน้อยๆอีก เมื่อรวมเอาค่าใช้จ่ายเหล่านี้เข้าด้วยกันก็จะเป็นค่าใช้จ่ายที่สูงอยู่เหมือนกันค่ะ เพราะฉะนั้นเมื่อรู้ว่าต้องย้ายหรือคิดว่าจะย้ายก็ต้องรีบหาข้อมูลค่าใช้จ่ายต่างๆและเก็บเงินกันไว้แต่เนิ่นๆค่ะ

เมื่อหาข้อมูลเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายของการขนย้ายแล้วก็ต้องลองเอาวิธีต่างๆมาเปรียบเทียบกันว่าจะใช้วิธีไหน ซึ่งมันก็มีอยู่หลายวิธีขึ้นอยู่กับระยะทาง อย่างตัวเองเมื่อตอนที่ต้องย้ายที่พักครั้งแรกนั้น เป็นการย้ายจากหอพักของมหาวิทยาลัยมาอยู่อพาร์ทเม้นต์ข้างนอกมีแค่กระเป๋าเสื้อผ้าไม่กี่ใบก็ขอให้เพื่อนช่วย

แต่พอมาครั้งที่สองซึ่งมีข้าวของมากขึ้น จะขอให้เพื่อช่วยก็เกรงใจเพราะเพื่อนที่มีรถก็เป็นแค่คันเล็กๆ คงต้องขับไปขับมาหลายรอบก็เลยถามเจ้าของบ้านที่ไปเช่าห้องอยู่ว่าเราขอขนของไปไว้ก่อนล่วงหน้าได้ไหม โชคดีว่าห้องว่างอยู่เขาก็อนุญาต เราเลยขนได้วันละนิดวันละหน่อยทุกวันตลอดทั้งอาทิตย์ พอถึงเวลาที่เพื่อนมาช่วยได้ก็เหลือแต่ของที่ใหญ่หน่อยขนแค่เที่ยวเดียวก็หมดและไม่ต้องเสียเงิน

แต่ตอนที่ย้ายข้ามรัฐข้ามประเทศนั้นเป็นสวัสดิการของแฟนเราก็เลยไม่ต้องกังวลเรื่องค่าขนส่ง  หากใครที่ย้ายไปไกลๆก็อาจจะต้องเปรียบเทียบระหว่างจ้างบริษัทขนส่ง หรือ จะเช่ารถขนของ หรือ จะหาคนช่วยก็ต้องลองเปรียบเทียบกันดูดีๆค่ะ

อีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญมากก็คือต้องทำความรู้จักกับสถานที่ใหม่ ถ้าเป็นการตัดสินใจด้วยตัวเองทั้งหมดก็ต้องศึกษาสถานที่หรือเมืองที่อยากจะย้ายไปอยู่ให้ดีเสียก่อนการตัดสินใจเลยล่ะค่ะ ในการศึกษาข้อมูลในเรื่องนี้ก็สามารถหาได้จากอินเตอร์เน็ต

สิ่งที่ควรรู้ก็เป็นเรื่องของความเป็นอยู่ทั่วไป อากาศ ค่าครองชีพ หรือถ้าเป็นโอนย้ายหน่วยกิจไปมหาวิทยาลัยของรัฐอื่นก็ต้องศึกษารายละเอียดของมหาวิทยาลัยให้ดีก่อนด้วยเช่นกันค่ะ และถ้าหากว่ามีงานทำอยู่แล้วไม่ว่าจะเป็นงานพิเศษหรืองานประจำ ก็แน่นอนที่สุดว่าจะต้องดูด้วยว่างานจะยังมีให้เหมือนเดิมหรือไม่ นี่รวมไปถึงงานในมหาวิทยาลัยด้วยนะคะ เพราะงานทุกอย่างหายากเหมือนกันหมด ในมหาวิทยาลัยอาจจะง่ายหน่อยแต่จะได้งานแบบเดิมและได้ค่าจ้างเท่าเดิมนั้นมันไม่มีอะไรที่จะมารับประกันได้ค่ะ

และอย่าลืมอีกอย่างหนึ่งที่สำคัญมากก็คือน้ำ ไฟ โทรศัพท์ เคเบิล และ อินเตอร์เน็ตที่ใช้บริการอยู่นะคะว่าจะต้องยกเลิกการใช้บริการกันเสียก่อน ปกติเราสามารถบอกให้กับผู้ให้บริการไว้ล่วงหน้าได้เลยว่าเราต้องการที่จะหยุดใช้บริการในวันที่เท่าไร และถ้ามีที่อยู่ใหม่รออยู่แล้วก็อย่าลืมติดต่อนัดให้เขามาติดตั้งระบบต่างๆที่ที่อยู่ใหม่  นอกจากนี้ก็อย่าลืมติดต่อที่ไปรษณีย์เพื่อทำการส่งต่อจดหมายไปที่ที่อยู่ใหม่ด้วย ซึ่งจะไปขอแบบฟอร์มที่ไปรษณีย์ หรือ จะเข้าเว็บไซด์ของ USPS ก็ได้ค่ะ

บางรายที่มีของใช้มากหน่อยก็อาจจะต้องขายของเก่าที่ไม่จำเป็นออกไปเพื่อประหยัดค่าใช่จ่ายในการขนย้าย โดยปกติแล้วเมื่อเราเข้าอยู่ที่ใดที่หนึ่งไปสักระยะแล้วเราก็จะเริ่มซื้อข้าวซื้อของมากขึ้น จนเกินความจำเป็น บางครั้งถึงขนาดซื้อซ้ำกันซื้อแล้วซื้ออีกก็มีค่ะ ของที่ว่านี้รวมไปถึงเสื้อผ้าด้วยนะคะ เพื่อให้การขนย้ายง่ายขึ้นและมีค่าใช้จ่ายน้อยลงขายของเหล่านี้ออกไปบ้างก็ดีค่ะ

โดยเฉพาะตอนนี้เป็นหน้าร้อนอากาศดีเป็นช่วงที่เหมาะกับการทำ Garage Sale หรือไปเอาไปขายตามร้านเสื้อผ้าหรือร้านขายของมือสองก็ได้ค่ะ ไม่แน่นะคะเสื้อผ้าเก่าที่ไม่ใส่แล้วอาจจะช่วยจ่ายค่าใช่จ่ายต่างๆได้มากก็ได้ค่ะ  และถ้าขายของได้ไม่หมดแต่ไม่ต้องการแล้วก็อย่าเอาไปทิ้งนะคะ เอาไปบริจาคที่ Goodwill แล้วขอใบเสร็จมาเพื่อลดหย่อนภาษีได้ค่ะ ที่ที่รับบริจาคของใช้แล้วบางที่อาจจะไม่สามารถออกใบลดหย่อนภาษีได้แต่ที่ Goodwill นี่มีใบลดหย่อนให้แน่นอนค่ะ

และสำหรับคนที่มีลูกหลานในวัยเรียนที่ต้องดูแลอยู่ก็อย่าลืมดูที่เรียนใหม่ไว้ด้วยนะคะ ถ้าเป็นไปได้ก็ต้องติดต่อไปที่โรงเรียนให้เขาได้รู้ไว้ล่วงหน้าด้วยว่าเราคิดจะเอาลูกหลานของเราเข้าโรงเรียนของเขาเมื่อไร อย่างตัวเองเมื่อต้องย้ายจากรัฐ North Carolina มาอยู่ที่รัฐ Washington เป็นการย้ายกลางปีก็ต้องติดต่อโรงเรียนของลูกไว้ล่วงหน้าหลายเดือนเพราะว่าเราเลือกให้ลูกเข้าโรงเรียนเอกชน

ทางโรงเรียนทั้งสองโรงเรียนเขาก็ต้องติดต่อถึงกันเกี่ยวกับระบบการเรียนการสอนว่าใกล้เคียงกันหรือไม่ และเมื่อไปถึงแล้วลูกชายก็ต้องทำการทดสอบระดับดูว่าจะตามเพื่อนๆทันไหม และก็อย่าลืมค่าเล่าเรียนด้วยนะคะ เพราะโรงเรียนแต่ละที่จะมีค่าเล่าเรียนแตกต่างกัน มีช่วงเวลาการเปิดเรียนปิดเรียนต่างกัน ตอนที่เอาลูกชายเข้าโรงเรียนใหม่ก็ต้องจ่ายเพิ่มค่อนข้างมากเหมือนกันค่ะ

การย้ายที่อยู่ไม่ใช่เป็นเพียงแค่ย้ายจาที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่งเท่านั้น แต่มันเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในชีวิต การเตรียมตัวที่บอกมานี้ยังไม่หมดนะคะ แต่มันยังมีอีกหลายเรื่องจุกจิกเล็กๆน้อยๆที่ต้องเตรียมต้องทำเมื่อต้องย้ายที่อยู่กันแต่ละครั้ง การเตรียมตัววางแผนให้ดีจะช่วยให้เราสามารถย้ายได้สะดวกและไม่ปวดหัวมากนักค่ะ

โดย

Supakorn Bagley

Intercultural Consulting and Services LLC


Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *