บิลล์ เกตส์ อภิมหาเศรษฐีผู้ใจบุญ
วันนี้เราจะไปทำความรู้จักกับคนดังอีกคนในอเมริกา เค้าผู้นี้เป็นบุคคลที่เคยรวยที่สุดในโลกติดต่อกันมาหลายปี ถึงแม้ว่าการจัดอันดับในปีนี้ อันดับความรวยของเค้าจะลดลงมาก็ตาม แต่ตอนนี้เค้าถือว่าเป็นคนใจบุญที่สุดในโลกเลยก็ว่าได้ เป็นใครไปไม่ได้นอกจาก บิลล์ เกตส์ (Bill Gates) หนึ่งในผู้ก่อตั้งบริษัทไมโครซอฟท์ บริษัท ที่ใหญ่ที่สุด ในโลก นั่นเอง
บิลล์ เกตส์
เป็น สุดยอดอภิมหาเศรษฐีแห่งคุณธรรมและจริยธรรม คนนึงที่โด่งดังมากในอเมริกาและทั่วโลก
บิลล์ เกตส์ เกิดที่เมืองซีแอทเทิล มลรัฐวอชิงตัน วันที่ 28 ตุลาคม ค.ศ.1955 บิดาชื่อวิลเลียม เอ็ช เกตส์ จูเนียร์ มีอาชีพนักกฎหมายของบริษัท มารดาชื่อแมรี แมกซ์เวล เกตส์ เป็นสมาชิกคณะกรรมการของ Berkshire Hathaway บิลล์ เกตส์ โชคดีมากเนื่องจากเขาเพียบพร้อมด้วยกรรมพันธุ์ชั้นดีและสิ่งแวดล้อมที่เอื้อ อำนวย พ่อ แม่มีการศึกษาดีและมีอันจะกิน ส่วนตายายเป็นเจ้าของธนาคาร หลังเขาเกิดแม่ก็ลาออก จากงานมาเลี้ยงดูเขากับพี่สาวและน้องสาว ผู้เกิดตามมาพร้อมกับสละเวลาบางส่วน ให้กับองค์กรการกุศล บิลล์ เกตส์ จึง เห็นตัวอย่างของการแทนคุณแก่สังคม ตั้งแต่ครั้งเขายังเด็ก และยายยังเป็นผู้สนับสนุนให้เขาอ่านหนังสืออย่างต่อเนื่อง พร้อมกับมีรางวัลให้แทบไม่อั้น รวมทั้งกองทุนเป็นเงินถึง 1 ล้านดอลลาร์
บิลล์ เกตส์ พกมันสมองของอัจฉริยะติดมาด้วย เขาสนใจอ่านสารพัดอย่าง เมื่ออ่านแล้วก็จำได้อย่างแม่นยำ เขาสามารถท่องคัมภีร์ซึ่งมีเนื้อหายาวๆได้ภายใน 3 ชั่วโมง เมื่อตอนอยู่ชั้น ประถม เขามีความสามารถพิเศษในการนำชิ้นส่วนต่างๆ มาประกอบเป็นกลไกสำหรับใช้เป็นเครื่องเล่น บุคลิกเด่นๆ ของ เขา ได้แก่ การเป็นเด็กดื้อ ซน อดทน ในระหว่างเรียนชั้นประถมเขาเรียนออกหน้าเพื่อนร่วมชั้นทั้งด้านภาษาและด้าน คำนวณ หลัง จากเข้าใจเนื้อหาแล้วก็มักก่อกวนเพื่อนร่วมชั้นและสร้างความรำคาญให้แก่ครู
ขณะ ที่เขาเรียนอยู่ในชั้นมัธยม บิลล์ เกตส์เข้าศึกษาที่โรงเรียนเลคไซด์ อันเป็นโรงเรียนมัธยมที่ดีที่สุดในเมืองซีแอทเทิลซึ่งรับเฉพาะเด็กหัวกะทิ จากครอบครัวมั่งคั่ง ดังเช่นครอบครัวของเขาเท่านั้น การมีการศึกษาดีทำให้พ่อแม่ตระหนักอย่างรวดเร็วว่า การ สร้างความรำคาญในชั้นเรียนของลูกชายเป็นการแสดงออกของความเบื่อหน่าย หลังจากเขาเข้าใจเนื้อหาของวิชาที่ ครูสอน ก่อนคนอื่น โดย เฉพาะโรงเรียนมีอุปกรณ์ช่วยการเรียนการสอนมากมายและให้อิสระ แก่นักเรียนที่จะทำอะไรๆ ตามความสนใจได้มากกว่าปกติ สถานีใช้คอมพิวเตอร์ (Computer terminal) ซึ่ง ต่อสายไปยังคอมพิวเตอร์ ขนาดใหญ่ของบริษัทที่ให้เช่า และนั่นเป็นสิ่งที่บิลล์ เกตส์ ติดงอมแงมทันทีเมื่อโรงเรียนนำมาติดตั้งหลัง เขาเข้าเรียนได้ไม่นาน มันทำให้เขาได้เพื่อนรุ่นพี่ชื่อ พอล อัลเลน ซึ่งติดเล่นกับสถานีใช้คอมพิวเตอร์แบบงอมแงม เช่นกัน เพื่อนสนิทคนนี้ต่อมามีบทบาทสำคัญในการร่วมก่อตั้งบริษัทไมโครซอฟท์
หลังจากเรียน ใช้คอมพิวเตอร์ได้ไม่นาน บิลล์ เกตส์ ก็ได้นำเวลาเรียนมาใช้ ยัง ผลให้เขาถูกห้ามใช้ คอมพิวเตอร์อยู่ระยะหนึ่ง หลังจากหมดโทษเขากลับทำผิดร้ายแรงขึ้นไปอีก โดยการเขียนโปรแกรมจำพวก สร้างปัญหา ส่งไปตามสายจนทำให้คอมพิวเตอร์ของบริษัทขัดข้อง คราวนี้แทนที่จะถูกทำโทษเขาได้รับเชิญให้ไป ใช้คอมพิวเตอร์ของบริษัทในตอนกลางคืนแทน เมื่อคน อื่นกลับบ้านหมดแล้ว เพื่อค้นหาความบกพร่องการทำงานของ คอมพิวเตอร์ ชื่อเสียงของเขาค่อยๆ โด่งดัง และมีบริษัทว่าจ้างให้เขาไปทำงาน ด้านค้นหาความบกพร่องของโปรแกรมตั้งแต่ตอนก่อนเขาเรียนจบชั้นมัธยม โรงเรียนอนุญาตเขาให้หยุดเรียนชั่วคราวได้เพื่อไปทำงานนั้น ในขณะเดียวกันเขากับเพื่อนสนิทก็เริ่มมีธุรกิจ รับเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ให้องค์กรต่างๆ
ฮาร์วาร์ดสร้างจุดพลิกผันสำคัญ ให้แก่บิลล์ เกตส์ ในจำนวนจุดพลิกผันที่มีความโดดเด่นเป็นพิเศษ ได้แก่ ใน ระหว่างที่พอล อัลเลน เดินทางข้ามประเทศไปเยี่ยมเขาที่นั่น ทั้งสองออกไปเดินเล่นกันแล้วเหลือบไปเห็น นิตยสารด้านอิเล็กทรอนิกส์ ที่ขึ้นปกด้วยรูปของคอมพิวเตอร์แบบตั้งโต๊ะ มันมีมนต์ขลังถึงขนาดบันดาลให้บิลล์ เกตส์ เลิกเล่นไพ่และพอล อัลเลน ลาออกจากงานเพื่อร่วมกันทุ่มเทเวลาหาทางเขียนซอฟต์แวร์สำหรับ คอมพิวเตอร์แบบนั้น ซึ่งทั้งสองยังไม่เคยเห็นตัวจริงเสียด้วยซ้ำว่าเป็นอย่างไร หลังจากอดตาหลับขับตานอนอยู่ 2 เดือน พอล อัลเลน ก็นำโปรแกรมที่ทั้งสองช่วยกันพัฒนา ไปเสนอแก่บริษัทเจ้าของคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะที่รัฐนิวเม็กซิโก ปรากฏ ว่าโปรแกรมนั้นทำงานได้สร้างความอัศจรรย์ใจ ให้ผู้รู้เห็นทุกคน บริษัทนั้นจ้างพอล อัลเลน ทันที
อีกไม่นานต่อมาบิลล์ เกตส์ ก็ตัดสินใจหันหลังให้กับใบปริญญา ลาออกจากฮาร์วาร์ด ทั้งๆที่เรียนอยู่ชั้นปี 3 แล้วร่วมกับพอล อัลเลน เพื่อนสมัยเด็ก ทุ่มเทพลังงานทั้งหมดสร้างบริษัทไมโครซอฟต์ได้สำเร็จภายใน 2 ปี ด้วยความเชื่อว่าในอนาคตคอมพิวเตอร์จะต้องกลาย เป็นเครื่องมือส่วนบุคคล และเป็นสิ่งสำคัญสำหรับทุกๆโต๊ะทำงาน และทุกๆบ้าน การคาดการณ์ล่วงหน้าที่แม่นยำและวิสัยทัศน์ ที่กว้างไกลในเรื่องนี้เองที่เป็นจุดเริ่มต้นความสำเร็จของไมโครซอฟต์ในเวลา
ต่อมาไมโครซอฟต์ใช้เงินลงทุนมากกว่า 4 พัน ล้านดอลล่าร์ในการทำวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ เพื่อปรับปรุงเทคโนโลยีซอฟต์แวร์ ให้ทันสมัย และคิดกลยุทธ์พัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เพิ่มขึ้นตลอดเวลา แม้ว่าในช่วงหลัง อัตราการเติบโตของบริษัทจะลดลง แต่เกตส์ก็ยังคงครองตำแหน่งเจ้าพ่อด้านซอฟต์แวร์ของโลกเหมือนเดิม ด้วยรายได้กว่า 28,000ล้านเหรียญสหรัฐ บริษัทสาขาใน 74 ประเทศและมีพนักงานกว่า 50,000 คน
ด้านครอบครัว เกตส์สมรสกับ เมลินดา เฟร้นช์ เมื่อวันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 1994 ทั้งคู่มีบุตรด้วยกัน 3 คนคือ เจนนิเฟอร์ แคทารีน เกตส์(เกิดเมื่อวันที่ 26 เมษายน ค.ศ. 1996) โรรี จอห์น เกตส์ (เกิดเมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม ค.ศ. 1999) และ ฟีบี อาเดล เกตส์ (เกิดเมื่อวันที่ 14กันยายน ค.ศ. 2002)
ในขณะที่เขาเป็นบุคคลสาธารณะ ที่ สุดในโลกคนหนึ่ง เกตส์กลับชอบเก็บตัว เขาหลงใหลการอ่าน และสนุกกับการเล่นกอล์ฟและไพ่บริดจ์ ในวันหยุดเขามักจะพาครอบครัวคือเมลินดา เฟรนช์ เกตส์ ภรรยาและลูก ๆ อีก 3 คนไปอยู่กับพ่อของเขา กว่า 32 ปีอันเป็นช่วงเวลาที่บิลล์ เกตส์ เริ่มก่อตั้งบริษัทไมโครซอฟท์ถึงวันที่เขาเกษียณตัวเอง เขา มีร่างกายพิเศษที่แม้จะไม่ได้หลับได้นอนเป็นเวลานานๆ แต่ร่างกายของ เขาทนทานต่อการหักโหมได้ไม่เฉพาะในระหว่างอยู่ในมหาวิทยาลัยเท่านั้นที่เขา หักโหมร่างกายโดยการเล่นไพ่และอยู่ในห้องคอมพิวเตอร์ตลอดวันตลอดคืน ในระหว่างการสร้างบริษัทไมโครซอฟท์ก็เช่นกัน บ่อยครั้งพนักงาน ที่เข้ามาทำงานในตอนเช้าจะพบเขานอนหลับอยู่กับพื้นห้องเพราะเขาทำงานจนดึก ดื่นทุกคืน และบางครั้งไม่ยอม เสียเวลาเดินทางกลับบ้าน เมื่อง่วงจัดจนทนไม่ไหวจริงๆ เขาก็ลงนอนหลับกลิ้งอยู่บนพื้นห้องทำงาน
แม้เขาจะทำงานแบบหามรุ่งหามค่ำตลอด ทั้งปี แต่เขาจะมีเวลาเป็นของตัวเองปีละ 2 ครั้ง ครั้งละหนึ่ง สัปดาห์ ในช่วงหนึ่งสัปดาห์นี้เขาจะหนีไปเก็บตัวอยู่ในสถานที่ห่างไกลที่ไม่มีอะไร รบกวน เขาจะใช้เวลาอ่านหนังสือใหม่ๆ ที่เขาไม่มีโอกาสอ่านพร้อมกับศึกษาเหตุการณ์ต่างๆ รวมทั้งในด้านธุรกิจ การใช้เวลาคิดอย่างลึกซึ้ง ถึงทุกสิ่งรอบด้านนี้ มีผลดีต่อทั้งการวางแผนระยะยาวของไมโครซอฟท์และกลยุทธ์ที่จะใช้ต่อไปในช่วง เวลาสั้นๆ นอกจากนั้นเขายังได้แนวคิดใหม่ๆ ซึ่งนำไปสู่การเขียนหนังสือ 2 เล่ม ได้แก่ The Road Ahead ซึ่งพิมพ์เมื่อปี 2538 และ Business @ the Speed of Thought ซึ่งพิมพ์เมื่อปี 2542 เล่มหลังนี้พูดถึงการใช้เทคโนโลยีดิจิตอลเพื่อเพิ่ม ประสิทธิภาพของการทำธุรกิจ
แม้ว่า บิลล์ เกตส์ จะเป็นอภิมหาเศรษฐีหมายเลขหนึ่งของโลกตั้งแต่ อายุ 39 ปี แต่เขาเป็นคนตระหนี่ถี่เหนียวเรื่องการใช้เงิน เขาไม่นิยมสะสมตุ๊กตาราคาแพงเช่นมหาเศรษฐีส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นการซื้อเรือยอชต์ เครื่องบิน เฮลิคอปเตอร์ สนามกอล์ฟ บ้านตากอากาศ หรืองานศิลปะ เงินของเขาส่วน ใหญ่ถูกนำไปใช้ในการลงทุนและเพื่อการกุศล
เขาและภรรยาได้ตั้ง มูลนิธิขึ้นมาเพื่อดำเนินงานด้านการกุศล หลังการเกษียณตัวเองเมื่อวันที่ 27 มิถุนายน ค.ศ. 2008 ที่ผ่านมา บิลล์ เกตส์ เริ่มใช้เวลาส่วนใหญ่หมดไปกับงานการกุศลของมูลนิธิชื่อว่า Bill & Melinda Gates Foundation
บิลล์ เกตส์ และภรรยา ก่อตั้งมูลนิธิขึ้นมาเมื่อปี 2543 ในช่วงเวลา 8 ปีเขาทั้งสองได้สละทรัพย์สินส่วนตัวให้มูลนิธิ แล้ว 34, 000 ล้านดอลลาร์ อภิมหาเศรษฐีวอร์เรน บัฟเฟตต์ เพื่อนสนิทอีกคนหนึ่งของเขาได้บริจาคสมทบอีก 3,360 ล้านดอลลาร์ และจะบริจาคเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อีกราว 30, 000 ล้านดอลลาร์ ทรัพย์สินกองนี้เป็นเสมือนต้นทุนที่มูลนิธิ จะนำมาหมุนหาดอกผลเพื่อนำไปใช้ในโครงการการกุศลทั่วโลก ในช่วง 8 ปีที่ผ่านมา มูลนิธิใช้ดอกผลไปใน โครงการการกุศลต่างๆ แล้ว 16,500 ล้านดอลลาร์ ทั้งโครงการในสหรัฐอเมริกาและในอีกกว่า 100 ประเทศ
เดือนกรกฎาคม 2006 บิลล์ เกตส์ ประกาศอำลาตำแหน่งสถาปนิกซอฟต์แวร์ของไมโครซอฟท์ เพื่อจะได้มีเวลาอุทิศตนเพื่องานการกุศลของมูลนิธิบิลล์และเมลินดา เกตส์มากขึ้น โดยขอเวลาสองปีเพื่อถ่ายโอนงานให้เรียบร้อย กระทั่งในที่สุดเมื่อวันศุกร์ที่ 27 มิถุนายน ค.ศ.2008 บิลล์ เกตส์ เกษียณตัวเองจากงานเต็มเวลาในบริษัทไมโครซอฟท์ด้วยอายุ 52 ปี กับ 8 เดือน จากวันนี้ไปเขาจะทำงานให้ไมโครซอฟท์เพียงสัปดาห์ละ 1 วัน ส่วนเวลาที่เหลือเขาจะอุทิศตนเพื่องานการกุศลของมูลนิธิ บิลล์และเมลินดา เกตส์เพิ่มมากขึ้น
อย่าง ไรก็ตาม ความเป็นสุดยอดของบิลล์ เกตส์ที่โลกทั้งโลกต้องยกย่องนั้น มิได้อยู่ที่ตัวเลขความร่ำรวย หรือความเป็นนักธุรกิจที่เก่งฉกาจ แต่อยู่ตรงที่ความเป็นคนที่มีมนุษยธรรม มีหัวใจแห่งความเมตตา และมีปรัชญาการดำรงชีวิตที่ดีงาม นอกจากเค้าจะตระหนักในความโชคดีของตนเองและรู้จักพอเพียงแล้วเค้ายังอุทิศ กำลังกาย กำลังสมองและกำลังทรัพย์ส่วนหนึ่ง เพื่อ ช่วยกันขจัดปัญหาใหญ่ๆ ในชุมชนซึ่งตนอาศัยอยู่ ชุมชนนั้นอาจเป็นหมู่บ้านเล็กๆ หรือชุมชนขนาดใหญ่ในระดับประเทศและระดับโลกซึ่งสิ่งเหล่านี้เค้าถือว่าเป็น การตอบแทนสังคม อันเป็นการแสดงถึงความมีคุณธรรมและจริยธรรมของมหาเศรษฐีของโลกคนนี้ ซึ่ง สมควรเป็นเยี่ยงอย่างแก่บุคคลทั่วไปเป็นอย่างยิ่ง เค้าแสดงให้เห็นว่าความร่ำรวยไม่ใช่ที่สุดในชีวิต แต่เหนือสิ่งอื่นใดคือการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ ช่วยเหลือสังคมโดยไม่มีการแบ่งสีผิว หรือชนชั้นใดๆ ทั้งสิ้น โลกใบนี้จะไม่มีใครลืมเขา “อภิมหาเศรษฐีที่รู้จักคำว่าพอเพียง“
ขอบคุณข้อมูลจาก http://th.wikipedia.org และ http://www.zidoshop.com
ขอชื่นชมและอนุโมทนาบุญกับท่านมหาเศรษฐีคนนี้และครอบครัว