เทคนิคหางานในอเมริกา
ช่วงเวลาที่เศรษฐกิจมันตกสะเก็ดอย่างนี้งานการอะไรมันก็หายาก ยิ่งตอนนี้ทางรัฐบาลของสหรัฐอเมริกา ต้องควบคุมการใช้จ่ายตัดงบโน่น ตัดงบนี่ มันยิ่งทำให้จำนวนงานลดน้อยลงไปอีก แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีงานมาให้ทำเลยนะคะ เท่าที่เห็นมาจากเว็บไซด์หลายที่เขาให้การคาดการณ์ไว้ว่าต้องเรียนนั่นเรียนนี่เพราะตลาดกำลังโต แต่ในทางส่วนตัวแล้วก็เห็นว่าข้อมูลสถิติที่เขาใช้อ้างอิงมันมันค่อนข้างจะเก่า เวลาแค่ข้ามปีตลาดงานก็สามารถเปลี่ยนไปมากมายแล้ว
คราวนี้ก็ต้องมาดูว่าเรียนมาแล้วจบมาแล้วจะให้วิ่งไล่เรียนตามที่เขาบอกมันคงจะไม่ได้เรื่องเพราะฉะนั้นเราจะต้องมีวิธีสร้างสมวิทยายุทธ์ไปเรื่อยๆก่อนค่ะ ต้องเริ่มจากการตอนเป็นนักศึกษาก็ควรจะเริ่มหางานในมหาวิทยาลัยทำค่ะ จริงอยู่ที่งานในมหาวิทยาลัยได้เงินน้อยกว่าแต่ถ้ามองในด้านประสบการณ์แล้วมันเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีมากเลยค่ะ โดยเฉพาะหากน้องๆสามารถหางานในออฟฟิศ ห้องสมุด หรือในห้องแล็ปหรือห้องคอมพิวเตอร์จะดีมาก พูดโดยรวมๆก็คืองานที่จะต้องพูดคุยและให้บริการคนอื่นๆทั่วไปจะดีมาก เพราะนี่มันแสดงถึงประสบการณ์หรือทักษะในการขายและการให้บริการค่ะ ประกอบกับความสามารถในการใช้อุปกรณ์สำนักงานและการจัดการเอกสารต่างๆถือเป็นกำไรให้แก่จุดเริ่มต้นเลยทีเดียว ก้าวต่อไปก็คือการสมัครงานถ้าใครลองเข้าไปดูในเว็บไซด์คงจะเห็นว่างานมีให้แต่จะเป็นงานตามที่ต้องการไหมมันเป็นอีกเรื่องหนึ่งค่ะ เพราะฉะนั้นในเวลาที่กำลังรองานที่ต้องการหากมีงานไหนที่เรามีความสามารถที่จะทำได้ก็ควรจะสมัครไปก่อนค่ะและก็ต้องสมัครไปหลายๆที่ด้วย ควรนี้ก็มาถึงตัวจดหมายนำหรือ Cover Letter กับ Resume ที่จะใช้แนบไปตรงนี้เราควรจะเปลี่ยนให้เข้ากับงานแต่ละงานที่เราสมัครไปค่ะ คือมันเริ่มจากการที่เราเขียน Cover Letter กับ Resume เอาไว้ล่วงหน้าแล้วใช่ไม๊คะ แต่พอเราต้องการจะสมัครงานที่ไหน เราก็ต้องอ่านโฆษณาหางานนั้นให้ละเอียดเพื่อดูว่าเขาต้องการที่จะได้คนไปทำงานอะไร รับผิดชอบด้านไหนบ้าง จะให้ดีก็ต้องดูที่รายละเอียดของงานค่ะ ในส่วนของคุณสมบัตินั้นมันเป็นเรื่องทั่วไปแต่นายจ้างส่วนใหญ่อยากจะรู้ว่าคุณจะไปช่วยหรือไปทำงานให้เขาได้ไหม ลองคิดดูนะคะ เวลาที่บริษัทแห่งหนึ่งประกาศรับสมัครงานนั่นก็เพราะว่าเขามีงานส่วนหนึ่งที่เขาทำไม่ไหวและต้องการคนช่วย คุณสมบัติทั่วๆไปนั้นเป็นสิ่งที่ประเมินว่าคนที่มีคุณสมบัติที่จะสามารถทำงานได้ตามที่ต้องการ คราวนี้มันก็เป็นหน้าที่ของเราที่จะบอกเขาว่าเราสมารถทำงานตามที่เขาต้องการได้ ตรงนี้ไม่ใช่การโกหกนะคะแต่เป็นการใช้คำพูดและจัดลำดับความสำคัญในความสามารถของเราตามที่บริษัทนั้นๆต้องการ เวลาคนที่ทำหน้าที่กลั่นกรอง Cover Letter กับ Resume เอาของเรามาดูเขาจะได้เห็นว่าเรามีคุณสมบัติตามที่ต้องการ ไม่เชื่อก็ลองมานั่งนึกดูนะคะว่าหัวหน้าของคุณสั่งว่าให้เอา Cover Letter กับ Resume เป็นร้อยๆฉบับมานั่งแยกว่าใครมีคุณสมบัติตรงตามต้องการ เขาก็จะดูตามรายการที่เขาเรียงเอาไว้ในโฆษณาโดยที่ไม่ได้คิดว่าเขาจะต้องมาใช้เวลานั่งอ่านนั่งวิเคราะห์ ดังนั้นหาก Cover Letter กับ Resume ของเราไม่ใช้คำเดียวกันหรือเรียงลำดับความสามารถตามลำดับที่เขาวางไว้ มันก็เป็นการง่ายมากที่จะถูกคัดออกไปก่อนในรอบแรก
ต่อไปก็เป็นเรื่องของการสัมภาษณ์ก็เป็นอีกขั้นตอนหนึ่งที่เราจะต้องเปล่งประกายให้ว่าที่เจ้านายได้เห็น เราจะต้องตอบคำถามอย่างมั่นใจมีเหตุมีผล และที่สำคัญเราต้องรู้และจำได้ว่าเขาต้องการความสามารถอะไรจากเรา จะถามคำตอบคำคงไม่เหมาะแน่ เพราะการสำรวมในแบบสไตล์คนไทยมันกลายเป็นว่าเราเป็นคนที่ไม่มั่นใจไปเสียงั้นแหละ แต่จะล้นมากเกินไปก็ไม่ดีนะคะ อย่างที่บอกแล้วว่าเราจะต้องมีเหตุมีผลประกอบว่าประสบการณ์ที่เราเคยทำมาถึงแม้ว่ามันไม่เหมือนกับที่เขามองหาเป๊ะแต่มันสามารถปรับใช้ได้ อย่างประสบการณ์ของตัวเองเคยเป็นครูสอนภาษาไทยให้กับทหารปฏิบัติการพิเศษมาก่อน
GoGoAmerica.com เว็บรวมหลากหลายเรื่องราวน่ารู้ใน อเมริกา ทั้ง วัฒนธรรม อาหาร ชีวิตความเป็นอยู่ หางานอเมริกา สถานที่ เที่ยวอเมริกา สำหรับคนไทยที่มีเป้าหมายในอเมริกาไม่ควรพลาด โดย ษุภากร Intercultural Consulting and Services LLC
คราวนี้ก็ต้องมาดูว่าเรียนมาแล้วจบมาแล้วจะให้วิ่งไล่เรียนตามที่เขาบอกมันคงจะไม่ได้เรื่องเพราะฉะนั้นเราจะต้องมีวิธีสร้างสมวิทยายุทธ์ไปเรื่อยๆก่อนค่ะ ต้องเริ่มจากการตอนเป็นนักศึกษาก็ควรจะเริ่มหางานในมหาวิทยาลัยทำค่ะ จริงอยู่ที่งานในมหาวิทยาลัยได้เงินน้อยกว่าแต่ถ้ามองในด้านประสบการณ์แล้วมันเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีมากเลยค่ะ โดยเฉพาะหากน้องๆสามารถหางานในออฟฟิศ ห้องสมุด หรือในห้องแล็ปหรือห้องคอมพิวเตอร์จะดีมาก พูดโดยรวมๆก็คืองานที่จะต้องพูดคุยและให้บริการคนอื่นๆทั่วไปจะดีมาก เพราะนี่มันแสดงถึงประสบการณ์หรือทักษะในการขายและการให้บริการค่ะ ประกอบกับความสามารถในการใช้อุปกรณ์สำนักงานและการจัดการเอกสารต่างๆถือเป็นกำไรให้แก่จุดเริ่มต้นเลยทีเดียว ก้าวต่อไปก็คือการสมัครงานถ้าใครลองเข้าไปดูในเว็บไซด์คงจะเห็นว่างานมีให้แต่จะเป็นงานตามที่ต้องการไหมมันเป็นอีกเรื่องหนึ่งค่ะ เพราะฉะนั้นในเวลาที่กำลังรองานที่ต้องการหากมีงานไหนที่เรามีความสามารถที่จะทำได้ก็ควรจะสมัครไปก่อนค่ะและก็ต้องสมัครไปหลายๆที่ด้วย ควรนี้ก็มาถึงตัวจดหมายนำหรือ Cover Letter กับ Resume ที่จะใช้แนบไปตรงนี้เราควรจะเปลี่ยนให้เข้ากับงานแต่ละงานที่เราสมัครไปค่ะ คือมันเริ่มจากการที่เราเขียน Cover Letter กับ Resume เอาไว้ล่วงหน้าแล้วใช่ไม๊คะ แต่พอเราต้องการจะสมัครงานที่ไหน เราก็ต้องอ่านโฆษณาหางานนั้นให้ละเอียดเพื่อดูว่าเขาต้องการที่จะได้คนไปทำงานอะไร รับผิดชอบด้านไหนบ้าง จะให้ดีก็ต้องดูที่รายละเอียดของงานค่ะ ในส่วนของคุณสมบัตินั้นมันเป็นเรื่องทั่วไปแต่นายจ้างส่วนใหญ่อยากจะรู้ว่าคุณจะไปช่วยหรือไปทำงานให้เขาได้ไหม ลองคิดดูนะคะ เวลาที่บริษัทแห่งหนึ่งประกาศรับสมัครงานนั่นก็เพราะว่าเขามีงานส่วนหนึ่งที่เขาทำไม่ไหวและต้องการคนช่วย คุณสมบัติทั่วๆไปนั้นเป็นสิ่งที่ประเมินว่าคนที่มีคุณสมบัติที่จะสามารถทำงานได้ตามที่ต้องการ คราวนี้มันก็เป็นหน้าที่ของเราที่จะบอกเขาว่าเราสมารถทำงานตามที่เขาต้องการได้ ตรงนี้ไม่ใช่การโกหกนะคะแต่เป็นการใช้คำพูดและจัดลำดับความสำคัญในความสามารถของเราตามที่บริษัทนั้นๆต้องการ เวลาคนที่ทำหน้าที่กลั่นกรอง Cover Letter กับ Resume เอาของเรามาดูเขาจะได้เห็นว่าเรามีคุณสมบัติตามที่ต้องการ ไม่เชื่อก็ลองมานั่งนึกดูนะคะว่าหัวหน้าของคุณสั่งว่าให้เอา Cover Letter กับ Resume เป็นร้อยๆฉบับมานั่งแยกว่าใครมีคุณสมบัติตรงตามต้องการ เขาก็จะดูตามรายการที่เขาเรียงเอาไว้ในโฆษณาโดยที่ไม่ได้คิดว่าเขาจะต้องมาใช้เวลานั่งอ่านนั่งวิเคราะห์ ดังนั้นหาก Cover Letter กับ Resume ของเราไม่ใช้คำเดียวกันหรือเรียงลำดับความสามารถตามลำดับที่เขาวางไว้ มันก็เป็นการง่ายมากที่จะถูกคัดออกไปก่อนในรอบแรก
ต่อไปก็เป็นเรื่องของการสัมภาษณ์ก็เป็นอีกขั้นตอนหนึ่งที่เราจะต้องเปล่งประกายให้ว่าที่เจ้านายได้เห็น เราจะต้องตอบคำถามอย่างมั่นใจมีเหตุมีผล และที่สำคัญเราต้องรู้และจำได้ว่าเขาต้องการความสามารถอะไรจากเรา จะถามคำตอบคำคงไม่เหมาะแน่ เพราะการสำรวมในแบบสไตล์คนไทยมันกลายเป็นว่าเราเป็นคนที่ไม่มั่นใจไปเสียงั้นแหละ แต่จะล้นมากเกินไปก็ไม่ดีนะคะ อย่างที่บอกแล้วว่าเราจะต้องมีเหตุมีผลประกอบว่าประสบการณ์ที่เราเคยทำมาถึงแม้ว่ามันไม่เหมือนกับที่เขามองหาเป๊ะแต่มันสามารถปรับใช้ได้ อย่างประสบการณ์ของตัวเองเคยเป็นครูสอนภาษาไทยให้กับทหารปฏิบัติการพิเศษมาก่อน
คราวนี้ไปสมัครงานเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง หน้าที่หลักคือให้คำปรึกษาแก่นักศึกษาที่มีปัญหาว่าควรปรับปรุงการเรียนอย่างไร พอเขาถามถึงเรื่องนี้เราก็บอกว่าถึงแม้ว่าจะเป็นครูสอนภาษาไทยแต่มีหลายส่วนที่เหมือนกันก็คือเป็นงานสอน Adult Learners และก็จะต้องคอยวิเคราะห์ว่าพวกเขาจะปรับปรุงการเรียนได้อย่างไร ควรไปขอรับความช่วยเหลือที่ไหนเป็นการเพิ่มเติม สิ่งเหล่านี้สามารถเอามาประยุกต์ใช้กับงานนี้ได้ เท่านั้นคนที่สัมภาษณ์ก็พอใจแล้วเพราะมันเป็นการแสดงถึงไหวพริบในการตอบคำถามและความพร้อมที่จะเรียนรู้สิงใหม่ๆของเราค่ะ
โดยสรุปก็คืองานยังมีให้เลือกทำมากมายหลายประเภท จะเอาแต่วิ่งตามงานว่างานไหนที่มันกำลังบูมนั้นมันจะเป็นการสายเกินแก้ สิ่งที่เราควรจะทำก็คือเอาความสามารถของเราที่มีอยู่มาเป็นจุดขาย สิ่งที่นายจ้างต้องการคือทักษะความสามารถที่เราสามารถติดต่อสื่อสารและให้บริการบุคคลอื่นได้ ซึ่งจริงๆแล้วงานทุกงานมันก็ต้องการสิ่งนี้อยู่แล้วเราเพียงแค่ปรับเปลี่ยนลงใน Cover Letter กับ Resume ให้เข้าตากรรมการเท่านี้ก็สามารถเป็นต่อคู่แข่งรายอื่นได้หลายขุมเลยล่ะค่ะบทความที่เกี่ยวข้อง
มาเริ่ม กิจการส่วนตัวในอเมริกา กันเถอะ งานอาสาสมัครกับการสมัครงาน เด็กอเมริกัน ดูแลการใช้จ่ายเงินของเค้ายังไงนะ งาน Part-time ในอเมริกาGoGoAmerica.com เว็บรวมหลากหลายเรื่องราวน่ารู้ใน อเมริกา ทั้ง วัฒนธรรม อาหาร ชีวิตความเป็นอยู่ หางานอเมริกา สถานที่ เที่ยวอเมริกา สำหรับคนไทยที่มีเป้าหมายในอเมริกาไม่ควรพลาด โดย ษุภากร Intercultural Consulting and Services LLC