สัพเพเหระในอเมริกา

เศรษฐกิจอเมริกาเริ่มแย่แล้ว

ตอนนี้ใครๆ ก็ทราบกันดีว่าเศรษฐกิจทั่วโลกนั้นกำลังแย่ลง เศรษฐกิจไทยก็เช่นกัน จะด้วยเหตุผลอะไรก็ตามแต่นานับประการ น้ำมันแพง รัฐบาลทะเลาะกับฝ่ายค้านเรื่องผักชีขึ้นราคา ต่างชาติไม่มาลงทุนที่ประเทศไทยเพราะไม่มี 3G หรืออะไรก็ตาม แต่หลายคนก็บอกว่าเหตุที่เศรษฐกิจโลกไม่ดีนั้นเป็นเพราะอเมริกา

ปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจอเมริกานั้นไม่ได้ส่งผลเสียแค่อเมริกาเท่านั้น ยังส่งผลกระทบทั่วโลก เพราะอเมริกาเป็นประเทศที่มีขนาดทางเศรษฐกิจใหญ่ที่สุด เป็นประเทศสมาชิกกลุ่ม G8 หรือกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำของโลก เป็นผู้นำในธุรกิจต่างๆ มากมาย และใช้เศรษฐกิจแบบทุนนิยม มี GDP เป็นอันดับ 1 ของโลกราว 20% ของ GDP ทั้งโลก หลายคนอาจจะสงสัยว่า GDP ที่พูดถึงนี่คืออะไร? GDP ย่อมาจาก Gross Domestic Product หมายถึง มูลค่าของสินค้าและบริการที่ผลิตขึ้นในประเทศนั้นๆ ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง โดยไม่คำนึงว่าผลผลิตนั้นจะผลิตขึ้นมาด้วยทรัพยากรของชาติใด ยกตัวอย่างเช่น บริษัทแอปเปิ้ลลงทุนเปิดโรงงานผลิตไอโฟนในประเทศจีน ทำให้เกิดสินค้าและบริการรวมมูลค่า 1000 ล้านเหรียญ โดยมูลค่า 1000 ล้านเหรียญนี้จะถูกเก็บเป็น GDP ของจีนไม่ใช่ของอเมริกา ถึงแม้ว่าบริษัทแอปเปิ้ลจะเป็นบริษัทในอเมริกาก็ตาม

 

ปัจจัยที่ทำให้เศรษฐกิจอเมริกาย่ำแย่นั้นเกิดจากการที่ทรัพยากรน้ำมัน และถ่านหินที่อเมริกาขุดขึ้นมาใช้นั้นเริ่มจะลดน้อยลงทุกวัน ไม่เพียงพอต่อความต้องการที่จะใช้อีกต่อไปแล้ว จึงต้องนำเข้าพลังงานจากต่างประเทศ และรู้สึกห่วงใยประชาชนประเทศอิรัก(ที่มีน้ำมัน)ขึ้นมาทันควันและจัดการส่งทหารไปดูแลอย่างใกล้ชิด  ส่วนภาคอุตสาหกรรมผลิตรถยนต์เดี๋ยวนี้ก็สู้ญี่ปุ่นไม่ได้ ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าก็สู้เกาหลีใต้ไม่ได้อีก ทำให้อเมริกาขาดดุลทางการค้านั่นคือ นำเข้ามามากกว่าส่งออก อเมริกาเป็นประเทศที่มีการบริโภคมากกว่าการออม ทำให้คนอเมริกัน (ประชากร 306 ล้านคน) อยู่ได้ด้วยการเป็นหนี้เพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ยสูงกว่ารายได้เฉลี่ยราว 2-3 เท่า ดังนั้นรัฐบาลสหรัฐจึงขาดดุล 2 ทางคือ ขาดดุลการค้าระหว่างประเทศ และขาดดุลงบประมาณ(ภายในประเทศ)

ส่วนวิกฤติด้านการเงินในอเมริกาเกิดขึ้น หลังจากที่ธนาคารทั้งหลายเกิดใจดีปล่อยสินเชื่อบ้านให้ผู้กู้ที่มีรายได้ต่ำเป็นจำนวนมาก แต่ผู้กู้กลับไม่สามารถผ่อนชำระหนี้บ้านได้ ตั้งแต่ปี 2007 ภายในระยะเวลาปีเศษๆ ราคาบ้านตกต่ำอย่างมาก ผู้กู้ประมาณ 13.6 ล้านคน คิดเป็น 17.3% ของผู้มีบ้านอยู่ในอเมริกา ต้องจ่ายหนี้ผ่อนบ้านในตอนปี ค.ศ. 2009 ที่บ้านมีมูลค่าต่ำกว่าตอนที่พวกเขาซื้อราวครึ่งหนึ่ง ทำให้ผู้กู้อยู่ในสภาวะที่กลืนไม่ได้คายไม่ออก จะขายก็ขาดทุนถึงครึ่งหนึ่งหรือไม่ก็ขายไม่ออก จะผ่อนต่อก็มีปัญหา ตกงานบ้าง รายได้หดหายไม่พอจ่ายบ้าง

เศรษฐกิจอเมริกานั้นขึ้นอยู่กับภาคการค้า บริการ และด้านการเงินมากกว่าภาคอุตสาหกรรม รวมทั้งการเกษตร หลังจากเกิดวิกฤติด้านการเงิน ภายในปีกว่าๆ คนอเมริกันตกงานไปแล้ว 3.5 ล้านคนในปี 2007 หนำซ้ำบ้านยังถูกยึดโดยธนาคารอีก ราวๆ 3.8 ล้านหลัง และคาดว่าในปี 2008-2012 จะถูกยึดเพิ่มอีก 6.4 ล้านหลัง เมื่อบ้านที่ธนาคารยึดไปก็ไม่สามารถขายต่อเพื่อทำกำไรได้ เพราะคนอเมริกันตกงานและมีรายได้ลดลง ทำให้ทั้งภาคธุรกิจและประชาชนจึงมีฐานะตกต่ำตามๆ กันเป็นลูกโซ่ ได้ยินอย่างนี้แล้วปวดตับแทนโอบาม่าซะจริงๆ

พูดถึงเรื่องเศรษฐกิจเป็นเรื่องที่สลับซับซ้อนชวนปวดหัว ตอนนี้หลายคนคงจะเริ่มปวดหัวกันแล้ว แต่เรื่องเศรษฐกิจนั้นก็เป็นเรื่องที่สำคัญอย่าง เราจะไปซื้อกาแฟสักแก้วนึงกินแก้ง่วง ทุกทีซื้อแก้วละ 20 บาท มาวันนี้ต้องจ่ายแก้วละ 25 บาท ขึ้นราคามาตั้ง 5 บาท พอบ่นกับแม่ค้าเรื่องราคา แม่ค้าก็จะยิ้มน้อยๆ แล้วบอกว่า “น้ำตาลมันขึ้นราคาเลยต้องเพิ่มราคาน่ะจ๊ะ เศรษฐกิจมันไม่ดีก็อย่างนี้แหละ น้ำมันขึ้นราคาของมันก็ขึ้นราคาตามกันไปหมด เห็นใจป้าเถอะ” จะเห็นว่าเรื่องของเศรษฐกิจนั้นสำคัญและใกล้ตัวมากกว่าที่คิด ถึงแม้ตอนนี้ราคาน้ำตาลจะลดลงแล้ว ก็อยากจะบ่นกลับแม่ค้าบ้างว่า ทำไมกาแฟก็ยังแก้ว 25 บาทเท่าเดิม!!!


 

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *