การเตรียมตัวเพื่อไปเป็น F-1 ในอเมริกา ตอนที่1
เมื่อระยะเวลา 1 ปีเต็มของสาวออแพร์อเมริกาได้ผ่านพ้นไป จากเดิมที่ตั้งใจจะไปเป็นออแพร์หน้าใหม่ในยุโรปก็เป็นอันต้องเปลี่ยนแผน เพราะทัศนคติและองค์ความรู้ใหม่ๆภายในหนึ่งปีที่ได้รับมานั้น ทำให้ตัวเราเองคิดอะไรๆได้อย่างรอบคอบมากขึ้น จากเดิมที่น้ำตาลคิดแค่เรื่องเที่ยว “เที่ยวในอเมริกาแล้วเก็บเงินสักก้อนไปเที่ยวในยุโรปต่อ” แต่ด้วยอายุของน้ำตาลที่มากขึ้นทุกวันๆ ประกอบกับธุรกิจของทางบ้านเราเองในประเทศไทยเริ่มจะไม่มั่นคง น้ำตาลจึงตัดสินใจสู้ตายในอเมริกาอีกสักครั้งแต่ไม่ขอเป็นออแพร์แล้วค่ะ เพราะมีความตั้งใจอยากจะเรียนอะไรก็ได้ให้จบและหางานดีๆทำในเมืองลุงแซมแห่งนี้
เหตุผลที่คิดออกมาใช้ชีวิตด้วยตัวเองโดยไม่ต่อสัญญาปีสองกับนายจ้างคนเก่านั้นก็มีด้วยกันหลายเหตุผลค่ะ ไม่ใช่ว่าโฮสแฟมิลี่ของน้ำตาลเป็นคนไม่ดีหรือใจร้ายนะคะแต่ก็ใจเขาใจเรานั่นแหละค่ะ น้ำตาลคิดว่ามนุษย์ทุกคนล้วนแล้วแต่แสวงหาผลประโยชน์เอื้อให้แก่ตัวเองให้มากเท่าที่จะมากได้ด้วยกันทั้งสิ้น
ตัวอย่างเช่นในครั้งที่น้ำตาลขอโฮสแม่ลงเรียนคอร์สเรียนหนึ่งที่ต้องเข้าเรียนสองครั้งต่อสัปดาห์ในช่วงเย็นของทุกๆวันจันทร์และวันพุธ เวลา 19.00-21.30 น. แต่โฮสแม่ไม่อนุญาติแล้วให้เหตุผลว่าน้ำตาลต้องทำงานทั้งวันแล้วไปเรียนตอนเย็นอีกมันจะเหนื่อยเกินไปเพราะน้ำตาลต้องดูแลน้องๆถึง 3 คน
เราก็เลยยอมไปเลือกคอร์สเรียนในช่วงเช้าของวันเสาร์แทน สรุปว่าวันหยุดของเราเองแท้ๆก็ยังต้องตื่นแต่เช้าไปเข้าเรียนอยู่ดี แต่สิ่งที่ทำร้ายความรู้สึกของน้ำตาลมากนั่นก็คือ โฮสให้น้ำตาลตื่นมาทำงานตั้งแต่ 7.00 น. และเลิกงานหลัง 19.00 น. ทุกวัน นอกจากนี้ยังบอกให้เราหาเวลาพักกลางวันเอาเองตอนที่น้องเบบี๋อายุไม่ถึงขวบนอนกลางวัน ซึ่งความจริงแล้วเวลาที่น้องนอนเราจะพักได้อย่างไรกันคะ ในเมื่อไม่รู้ว่าน้องจะตื่นขึ้นมาตอนไหน สุดท้ายก็ต้องนั่งเฝ้าเหมือนเดิมแอบพักงีบก็ไม่ได้
น้ำตาลได้เอาเรื่องนี้ไปถกกับโฮสแม่อยู่หลายครั้งค่ะแต่ว่าฝ่ายนั้นก็เอาแค่ขอโทษและขอให้เราเข้าใจการกระทำของเขาเพราะ “We are family!” ความจริงในใจตอนนั้นอยากรีแมชมากนะคะ แต่เนื่องจากเราเป็นคนเลือกที่จะแมชกับบ้านนี้เองตั้งแต่แรก และอีกอย่างคือน้ำตาลยังติดคอร์สเรียนภาษาของทางวิทยาลัยอยู่เลยคิดว่าอย่างไรก็ตามควรอดทนเรียนให้จบก่อน แล้วเหตุการณ์ต่างๆก็ยืดเยื้อมาจนกระทั้งย่างเข้าเดือนที่หกของการเป็นออแพร์
ซึ่งคราวนี้น้ำตาลเองดันไปมีบอยเฟรนด์ค่ะ เจอกันที่ไหน? เจอได้อย่างไร? ไว้จะหาโอกาสเหมาะๆมาเล่าให้เพื่อนๆได้ฟังกันนะคะ เอาเป็นว่าหลังจากมีแฟนแล้วน้ำตาลก็เล่าให้โฮสฟังค่ะ ดังนั้นโฮสจึงอยากเจอหน้าชายหนุ่มคนนี้ ซึ่งน้ำตาลเองก็ไม่ขัดข้อง ได้พามาแนะนำให้โฮสรู้จักและพูดคุยกันถึงที่บ้านว่าเขาเป็นใครมาจากไหน?ทำงานอะไร?ลูกเต้าเหล่าใคร? ฯลฯ ในส่วนนี้ก็เป็นหน้าที่ของทางฝ่ายชายที่ต้องพูดอภิปรายด้วยตัวของเขาเองค่ะ
จนในที่สุดโฮสก็อนุญาติให้เราคบกันไปมาหาสู่กันได้ตลอดแต่ต้องอยู่ในสายตาของโฮสนะคะ ด้วยจุดนี้เองที่ทำให้น้ำตาลอดทนแบ่งรับแบ่งสู้ทำงานให้กับบ้านหลังนี้จนครบหนึ่งปีเต็ม เพราะน้ำตาลไม่รู้ว่าถ้าเป็นครอบครัวอื่นเขาจะเข้าใจเราแบบนี้หรือเปล่า? หรือไม่น้ำตาลกับแฟน เราทั้งคู่อาจต้องเหนื่อยเพื่อเริ่มนับหนึ่งใหม่
ก่อนจบโครงการประมาณ 3 เดือน บอยเฟรนด์ก็เอ่ยปากขอแต่งงานค่ะ แต่น้ำตาลปฏิเสธนั่นเป็นเพราะน้ำตาลคิดว่าตัวเองยังเด็กอยู่ ขณะนั้นเราอายุแค่ 24 ปีเอง เป็นลูกมีพ่อมีแม่ด้วยจะทำอะไรก็ต้องได้รับอนุญาติกันก่อน
ไม่ใช่ว่าตัวเองไม่เคยคิดเรื่องแต่งงานมาก่อนนะคะ แค่คิดว่าถ้าจะต้องแต่งงานกันจริงๆ ก็อยากมีอาชีพที่มั่นคงทำก่อน อีกประการหนึ่งคือ แฟนน้ำตาลไม่ใช่คนรวยแบบเหลือกินเหลือใช้ค่ะ ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นคนดีแค่ไหนก็ตาม แต่เรายังไม่อยากไปสร้างภาระให้เขาอีกคน รอให้ทั้งสองฝ่าย “พร้อม” กันจริงๆเสียก่อนดีกว่า ดังนั้นคุณแฟนเลยเป็นกังวลเอามากๆเพราะกลัวว่าพอเราจบโครงการเราจะหนีกลับประเทศ เย็นวันหนึ่งน้ำตาลเลยบอกกับเขาไปว่า “I will applying for my F-1 Visa !! finish school and find a good job here!!” จำได้ว่าตอนนั้นแฟนตะโกนไชโยโห่ร้องเสียงดังเชียวค่ะ >.<
ก่อนจบโครงการออแพร์แค่สองเดือนน้ำตาลจึงได้รวบรวมเอกสารเพื่อยื่นขอ I-20 จากทางโรงเรียน แต่เนื่องด้วยทุนทรัพย์ของเราเองมีน้อย น้ำตาลเลยขอให้คุณป้าของน้ำตาลซึ่งเป็นพยาบาลอยู่ที่ชิคาโก้ช่วยเป็นสปอนเซอร์ให้และโรงเรียนที่น้ำตาลเลือกขอ I-20 ก็คือ Northern Virginia Community Collage เจ้าเก่าที่เราเคยลงเรียนภาษาด้วยเมื่อครั้งยังเป็นออแพร์นั่นแหละค่ะ
โดยค่าเรียนต่อปีสำหรับ Intensive English Program หรือคอร์สเรียนภาษาเราต้องโชว์เงินในบัญชีประมาณ $20,654 ต่อปี ส่วน Associate Degree (Two semesters: 12 credits each) ก็จะอยู่ราวๆ $23,454 ต่อปี ซึ่งทางโรงเรียนคิดรวมมาให้มาจากค่าเทอม ค่าที่พัก ค่าอาหาร ค่าประกันสุขภาพ และค่าใช้จ่ายจิปาถะอื่นๆค่ะ
เนื่องจากน้ำตาลไม่เคยมีผลคะแนน TOEFL หรือ IELTS มาก่อน ดังนั้นจึงต้องไปสอบ Placement Test หรือสอบวัดภาษาโดยตรงจากที่โรงเรียนค่ะ สรุปว่าความรู้ทางภาษาของน้ำตาลยังแค่หางอึ่งอยู่ ทางโรงเรียนเลยแนะนำให้เรียนคอร์ส Intensive English Program ไปก่อน เมื่อเรียนจบคอร์สดังกล่าวนี้แล้วก็สามารถเข้าเรียนระดับอนุปริญญาได้เลย ส่วนด้านล่างนี่ก็คือ I-20 Application Checklist ของ NVCC ค่ะ
For All International Students:
• NVCC Application for Admission (online or paper)
• I-20 Application Form (both pages completed)
• Financial Statement Form (both pages completed, if applicable)
• Bank statement (dated not more than 6 months before the start of the semester for which you are applying; names on bank statement and financial statement form must match)’
• Certified copy of high school diploma OR college transcript /diploma /verification letter if in ENGLISH OR an official English translation of one of the above.
Note: Participants in a J-1 Au Pair or Summer Work Travel program may show that they have completed high school by providing a copy of the DS 2019.
• Photocopy of passport ID page (also for dependents, if available)
เอกสารทุกอย่างที่ต้องใช้หรือขั้นตอนการสมัครทุกอย่างสามารถศึกษาได้จากเวปไซต์นี้ของทางโรงเรียนได้เลยค่ะ >>> http://www.nvcc.edu/future-students/admissions/international-students/index.html
เมื่อเรามีเอกสารทุกอย่างครบถ้วนแล้ว คราวนี้เราก็ส่งทั้งหมดที่มีไปยัง
Office of International Student Services (OISS)
7630 Little River Turnpike, Suite 815 Annandale, VA 22003
Phone: 703.323.3423 Fax: 703.813.1329
Email: oiss@nvcc.edu
จากนั้นก็รอการดำเนินการของเจ้าหน้าที่ประมาณ 2-3 สัปดาห์ค่ะ เขาจึงจะส่ง I-20 ไปให้ตามที่อยู่ที่เราแจ้งไว้ซึ่งจะเป็นที่ไหนก็ได้ทั้งในและนอกประเทศค่ะ หรือถ้าใครอยู่ใกล้ก็ขับรถไปรับได้ที่โรงเรียนด้วยตัวเองเลยจ้า
วันนี้น้ำตาลขอพักไว้แค่นี้ก่อนแล้วคราวหน้าจะมาเล่าให้ฟังกันต่อนะคะว่าหลังจากเราได้เจ้าหนังสือ I-20 นี่มาแล้ว เราต้องทำอะไรกันอีกบ้าง ท้ายสุดนี้อยากให้กำลังใจเพื่อนๆทุกคนว่า “โอกาสไม่ใช่ของทุกคนแต่ทุกคนมีสิทธิ์ได้รับโอกาสต่างๆอย่างเท่าเทียมกัน ขึ้นอยู่กับว่าใครจะมีความพยายามและความมุ่งมั่นมากกว่ากันแค่นั้นเอง”
ขอบคุณภาพประกอบจาก: www.nysylc.org ,jaimiena.blogspot.com