การเตรียมตัวเพื่อไปเป็น F-1 ในอเมริกา ตอนที่2
คราวที่แล้วน้ำตาลได้เล่าถึงขั้นตอนการขอหนังสือ I-20 จากทางโรงเรียน เพราะเราต้องใช้เอกสารตัวนี้ในการยื่นขอ F-1 Visa เมื่อทางโรงเรียนตรวจสอบเอกสารต่างๆและอนุมัติการออกเอกสารให้เป็นที่เรียบร้อยก็มีอีเมลแจ้งมาให้เราไปรับเอกสารค่ะ ซึ่งความจริงแล้วเราจะให้โรงเรียนจัดส่งให้ตามที่อยู่ที่ไหนก็ได้ไม่ว่าจะเป็นในประเทศหรือนอกประเทศ แต่น้ำตาล “กลัวหาย”ค่ะ ไปรับเองชัวร์กว่า พอได้รับมาแล้วก็พบว่าหน้าตาของเจ้า I-20 ตัวนี้ก็คล้ายๆกับเอกสาร DS-2019 ที่ชาว J-1 visa ถือครองอยู่นั่นล่ะ ซึ่งเจ้า I-20 ที่ว่าก็มีลักษณะเป็นกระดาษ A4 ที่มีรายละเอียดต่างๆของเราโดยมีแถบบาร์โค้ดยาวๆตรงด้านขวามือและจะมีเลขรหัสสำคัญอยู่ด้านบนของบาร์โค้ดด้วย โดยรหัสดังกล่าวนี้เราต้องใช้กรอกในขั้นตอนการขอวีซ่าค่ะ นอกจากนี้ก็ยังมีที่อยู่ของโรงเรียน วันเดือนปีของภาคการศึกษาที่เราเริ่มเรียน และระยะเวลาที่เราจะสามารถอยู่ในอเมริกาได้อย่างถูกต้องตามกฏหมายค่ะ
ความจริงแล้วสาเหตุที่ทำให้น้ำตาลตัดสินใจทำ F-1Visa มาจากเพื่อนสนิทคนหนึ่งที่เคยเป็นออแพร์ด้วยกันพูดโน้มน้าวมาตลอดค่ะ ก่อนจะมาเป็นออแพร์เราทั้งคู่นั่งเครื่องบินมาด้วยกันตั้งแต่ขึ้นเครื่องที่ไทย เข้าปฐมนิเทศน์ที่เดียวกัน แถมยังทำงานอยู่ไม่ไกลกันมาก น้ำตาลเลยได้ไปเที่ยวบ้านเพื่อนอยู่บ่อยๆ (คือน้ำตาลอยู่ Ashburn, VA ส่วนเพื่อนอยู่ Baltimore, MD ค่ะ )เราสองคนเลยสนิทกันมาก แล้วเพื่อนคนนี้เขาอยากจะเรียนต่ออเมริกาส่วนเราที่ยังล่องลอยคิดแต่เรื่องเที่ยวอยู่ เลยถูกเพื่อนเทศนาเป็นการใหญ่ให้นึกถึงเรื่องอนาคตของตัวเองบ้าง ในที่สุดน้ำตาลก็ยอมยกธงขาวค่ะ และก็ได้ไปเอา I-20 แทนเพื่อนเพราะเพื่อนติดทำงานซึ่งก็ทำได้นะคะแต่ต้องแจ้งให้ทางโรงเรียนได้ทราบไว้ก่อนล่วงหน้านะคะ
มีอีกเรื่องที่ลืมเล่าก่อนที่เราจะทำการขอ I-20 กันนั่นก็คือ น้ำตาลกับเพื่อนตกลงกันไม่ได้ค่ะ ว่าเราจะขอวีซ่าที่อเมริกาเลย หรือกลับไปทำเรื่องที่ไทยดี เพราะเห็นใครๆก็พูดว่าทำที่อเมริกาง่ายกว่าเยอะ ทำที่ไทยเปอร์เซนต์ไม่ผ่านสูงมาก แต่เราสองคนก็ตัดสินใจกลับไทยค่ะ เพราะอย่างน้อยประเทศไทยก็เป็นบ้านของเรา ขอให้เราได้กลับไปพบหน้าพ่อ แม่ พี่น้อง และเพื่อนๆสักหน่อย ดีกว่าต้องอดทนอยู่ในอเมริกาแบบเข้า-ออกไม่ได้ หรืออาจต้องพบกับปัญหาทำ Visa ยุ่งยากกว่าเดิมในอนาคต
เพราะการได้ Visa จากไทยเราจะใช้เข้าออกอเมริกาตอนไหนก็ได้ในขณะที่ Visa ยังไม่หมดอายุ แต่ถ้ายื่นเรื่องขอที่อเมริกาเลย แม้เราจะได้อยู่อย่างถูกต้องตามกฏหมายแต่ถ้าเราอยากกลับเมืองไทย เราก็ต้องยื่นเรื่องขอ Visa ใหม่อีกครั้งอยู่ดี ที่สำคัญการขอครั้งหลังนี้อาจทำได้ยากมากกว่าเก่าเพราะท่านกงศุลอาจมีคำถามแก่เราว่าทำไมไม่อยากกลับไทยหลังจบโครงการ? หรือเราคิดที่จะอยู่อเมริกาอย่างถาวร
เมื่อได้ I-20 มาแล้ว น้ำตาลกับเพื่อนก็จ่ายค่า Sevis I-901 fee ค่ะ โดยสามารถจ่ายออนไลน์ได้เลยที่ >>> http://www.ice.gov/sevis/students/ สนนราคา $200 ต่อคน พอจ่ายแล้วก็เก็บใบเสร็จออนไลน์ไว้นะคะ ส่วนใบเสร็จรับเงินตัวจริงเขาจะจัดส่งให้ตามที่อยู่ที่แจ้งไป ซึ่งน้ำตาลกับเพื่อนให้เขาส่งไปให้ที่ไทยค่ะ หลังจากนั้นก็รอแค่วันบินกลับประเทศไทย โดยในระหว่างนี้น้ำตาลกับเพื่อนก็ Shopping อย่างเดียวค่ะ ไม่ว่าจะเป็นที่ห้างหรือออนไลน์เราก็กวาดเรียบจนกระเป๋าตังค์แห้ง ส่วนข้าวของที่อเมริกาน้ำตาลได้ฝากเสื้อผ้าและสมบัติทุกชิ้นไว้บ้านเพื่อนที่โน่นเลย หอบกลับแค่เฉพาะของฝากกับของขายค่ะ ^__^
พอถึงประเทศไทยเพื่อนของน้ำตาลก็ไปซื้อ Pin จองวันสัมภาษณ์ Visa ที่ไปรษณีย์เลย ราคาประมาณ 350 บาทตามค่าเงิน ณ ตอนนั้น พอได้หมายเลข Pin ที่ว่านี่มาแล้ว เพื่อนจะต้องรอประมาณ 1 วันทำการ ถึงจะใช้รหัสดังกล่าวนั้นทำการจองวันสัมภาษณ์ Visa ได้ที่เว็บไซต์ >>> https://thailand.us-visaservices.com/forms/default.aspx ส่วนน้ำตาลซื้อ Pin online จากทางเว็บไซต์ที่ใช้จองวันสัมภาษณ์นั่นแหละค่ะ จำได้ว่าจ่ายถูกกว่าที่เพื่อนซื้อนะคะแต่จำไม่ได้แล้วว่าน้ำตาลจ่ายไปเท่าไหร่ ซึ่งเราจ่ายผ่านบัตรเครดิตเอาค่ะ และรหัส Pin ของน้ำตาลยังพิเศษกว่าเพื่อนคือไม่ต้องรอถึงหนึ่งวันก็สามารถใช้จองวันสัมภาษณ์ Visa ได้เดี๋ยวนั้นเลย แต่เดี๋ยวก่อนค่ะ!! เพราะการที่เราจะจองวันสัมภาษณ์วีซ่าได้เราก็ต้องเข้าไปกรอกเอกสารออนไลน์ที่เรียกว่า DS-160 กันก่อน ซึ่งเจ้า DS-160 ที่ว่านี้ เพื่อนๆสามารถเข้าไปกรอกได้ที่เว็บไซต์ตามลิ้งนี้เลยจ้า >>> https://ceac.state.gov/genniv/default.aspx
การกรอกเจ้า DS-160 นี่ต้องระวังให้มากเลยนะคะเพราะถ้าเรากด Submit ไปแล้วและมารู้ภายหลังว่ากรอกอะไรผิดพลาดไป เราจะทำการแก้ไขอะไรไม่ได้เลยนอกเสียจากต้องเข้าไปกรอกทำใหม่ทั้งหมด สิ่งที่เราต้องกรอกใน DS-160 ก็คือข้อมูลเกี่ยวกับตัวเราทั้งหมด บ้านอยู่ไหน เรียนจบอะไรมาบ้าง เคยไปอเมริกามาก่อนหรือเปล่า? ไปเมื่อไหร่? ตอนไหน? มีญาติหรือคนรู้จักที่โน่นหรือเปล่า? ทำงานอะไร? ฯลฯ ยังมีอีกเยอะเลยค่ะรับรองว่าได้นั่งทำกันจนตาเปียกตาแฉะเลยล่ะ เมื่อกรอกข้อมูลจนใกล้ถึงขึ้นตอนสุดท้ายก็จะมีที่ให้อัพโหลดรูปค่ะ รูปที่ใช้ก็คือรูป 2×2 นิ้ว ที่เราได้ถ่ายไว้เพื่อจะใช้ยื่นขอ visa นั่นล่ะ
ดังนั้นเวลาไปถ่ายรูปที่ร้านเสร็จแล้วก็ควรขอไฟล์รูปกับทางร้านมาด้วยนะคะ แต่ถ้าใครที่ไม่มีก็ไม่ต้องเป็นกังวลไปค่ะ เพราะจริงๆแล้วเราไม่ต้องอัพรูปใน DS-160 ก็ได้ แค่ติดรูปถ่ายไปด้วยในวันนัดสัมภาษณ์ก็พอ ส่วนคนที่อัพโหลดรูปไปแล้วก็อย่าได้ชะล่าใจเชียวเพราะรูปของท่านอาจไม่ได้มาตรฐานตามที่ทางสถานฑูตกำหนดไว้ ทางที่ดีทุกท่านควรติดรูปถ่ายตัวจริงไปด้วยเลยดีกว่าค่ะ เพื่อความมั่นใจว่าจะไม่มีปัญหาใดๆเกิดขึ้นอย่างแน่นอน
เมื่อทำ DS-160 เรียบร้อยแล้วน้ำตาลก็เช็คความถูกต้องทั้งหมดให้ถี่ถ้วนอีกครั้งก่อนกดปุ่มยืนยันจ้า หลังจากกดยืนยันแล้วต้องพิมพ์หน้า Confirmation ไว้เป็นหลักฐานด้วยค่ะเพราะเราต้องถือใบนี้ไปด้วยในวันสัมภาษณ์ซึ่งเพื่อนๆอาจพิมพใบสมัครทั้งชุดเก็บไว้เป็นหลักฐานของตนเองก็ไดเช่นกันค่ะ เพียงแต่ในวันสัมภาษณ์ให้นําไปเฉพาะหน้ายืนยันที่พิมพ์ออกมาเท่านั้น จากนั้นน้ำตาลก็ได้นำหมายเลขยืนยันการกรอกและส่งแบบฟอร์ม DS-160 หรือ Confirmation number ไปจองวันนัดสัมภาษณ์ในเว็บไซต์นี้ค่ะ>>>https://thailand.us-visaservices.com/forms/default.aspx เมื่อจองวันได้แล้วก็ต้องปริ้นท์ใบยืนยันไว้เป็นหลักฐานด้วยจ้า
หลังจากที่น้ำตาลรู้แล้วว่าตัวเองจะได้สัมภาษณ์กับท่านกงศุลในวันและเวลาไหน น้ำตาลก็ไปจ่ายค่าธรรมเนียม Visa ที่ไปรษณีย์ค่ะ โดยปัจจุบันค่าธรรมเนียมในการขอ F-1 Visa คือ $160 ค่ะ ดังนั้นน้ำตาลขอแจกแจงเอกสารที่เตรียมใช้ยื่นในวันสัมภาษณ์ ดังนี้ค่ะ
1. หนังสือเดินทาง หรือ Passport
2. รูปถ่ายสี พื้นหลังขาว ขนาด 2×2 นิ้ว ถ่ายให้เห็นใบหู และถ่ายไม่เกิน 6 เดือน 1 รูป
3. เอกสารส่วนตัวของเราเพื่อใช้ประกอบการยื่นวีซ่า เช่น หลักฐานการศึกษา หลักฐานการทำงาน หลักฐานทางการเงินของเราเองและของผู้ที่เป็นสปอนเซอร์ให้เรา
4. เอกสาร I-20 จากทางโรงเรียน
5. ใบเสร็จ Sevis I-901 Fee
6. ใบเสร็จค่าธรรมเนียมวีซ่า $160 ที่เราจ่ายที่ไปรษณีย์
7. ใบยืนยันการนัดวันจองสัมภาษณ์ Visa จากเวปไซต์
8. ใบ Confirmation ของเอกสาร DS-160
9. เอกสารอื่นๆ ที่เตรียมไปเผื่อไว้ เช่น ทะเบียนบ้าน บิลค่าน้ำค่าไฟของบ้านที่น้ำตาลเป็นเจ้าของอยู่และยังรับผิดชอบค่าใช้จ่ายนี้ผ่านการหักบัญชีธนาคาร นอกจากนี้สิ่งสำคัญเลยก็คือ Essay ของน้ำตาลเองว่าทำไมถึงอยากขอ F-1 visa
คราวหน้ามาติดตามกันต่อนะคะว่ากว่าน้ำตาลจะผ่านการสัมภาษณ์มาได้ต้องผ่านอะไรมาบ้างจ้า ^__^
ภาพประกอบจาก: studyabroadconsultants.inf,usvisa.jp,www.123rf.com