สัพเพเหระในอเมริกา

ซื้อประกันรถในอเมริกา-ทำไมต้องจ่ายแพงกว่า

ซื้อประกันรถในอเมริกาเพื่อนๆเคยสงสัย กันมั้ยค่ะว่าทำไม เบี้ยประกันรถ ถึงถูกแพงไม่เท่ากัน ทั้งๆที่เป็นรถยี่ห้อเดียวกัน หรืออะไรหลายอย่างคล้ายกัน แต่ทำไมเราต้องมาจ่ายแพงกว่าเพื่อน ??? คือในอเมริกานี้ รถทุกคันจะต้องมีประกันค่ะ ถือเป็นกฏหมาย ดังนั้นเป็นเรื่องดี หากเราได้มีความรู้เรื่องการ ซื้อประกันรถในอเมริกา

เรื่องราคาถูก-แพงนี้ ขึ้นอยู่กับหลายเหตุหลายปัจจัยค่ะ ส่วนใหญ่บริษัทประกันจะมีแผนกซึ่งทำการ Research ว่าในแต่ละปีรถคันไหน ยี่ห้อไหน สีอะไร ผู้หญิงหรือผู้ชาย อายุเท่าไหร มีการเก็บข้อมูลมาวิเคราะห์ทุกอย่าง ดังนั้นคนที่มีปัจจัยเสี่ยงต่างๆเหล่านี้ ทำให้ต้องจ่ายค่าประกันมากกว่าคนอื่นๆ ที่มีโอกาสเกิดอุบัติเหตุ

ซื้อประกันรถในอเมริกาดังนั้น ค่าเบี้ยประกัน ก็จะขึ้นกับ ปีของรถ มูลค่าของรถ ขนาดเครื่อง ประเภทรถ อายุของผู้ขับ ระยะทางที่ขับทุกวัน รัฐที่มีอัตราความเสี่ยงเรื่องอุบัติเหตุ อาชีพ และประวัติการขับรถที่ผ่านมา

ปีของรถ มูลค่า ขนาดเครื่อง เป็นเรื่องปกติ คือยิ่งปีที่เพิ่งออกใหม่ๆ ราคาแพง และขนาดเครื่องใหญ่ ย่อมมีเบี้ยประกันแพงกว่าอยู่แล้ว ดังนั้นจะขอข้ามไปที่ ประเภทรถดีกว่า การใช้รถซีดานทั่วไปมีแนวโน้มว่า ค่าเบี้ยประกันจะถูกกว่าการใช้รถสปอร์ตค่ะ

โดยเฉพาะรถสปอร์ตสองประตู สีแดง ราคาประกันจะแพงสุด ฟังแล้วอาจจะขำ แต่เป็นเรื่องจริงนะคะ เราผ่านการใช้รถมาแล้วหลายคัน เห็นความแตกต่างในเรื่องของเบี้ยประกัน อีกทั้งยังเคยถามกับเอเจนซี่ที่ขายประกัน ว่า อะไรบ้างที่เป็นปัจจัยในการตัดสินใจ

รถสปอร์ตสองประตู ไม่ว่าจะค่ายไหน รถอเมริกัน รถยุโรป รถญี่ปุ่น จะถูกมองว่า มีโอกาสเกิดอุบัติเหตุสูงกว่า และถูกโจรกรรมได้ง่ายกว่า และยิ่งถ้าสีของรถเป็นสีแดงแล้ว เบี้ยประกันจะแพงที่สุดค่ะ

จากประสบการณ์ตรง เราเคยใช้รถ Chevy ปี 2000 สีแดง 2 ประตู เข้าข่ายต้องจ่ายเบี้ยประกันแพงกว่ารถทั่วไป  กว่าจะมารู้ก็สายไปซะแล้วจะซื้อใหม่ก็ยากแล้วค่ะ หลังจากใช้รถคันนี้มา 2 ปี ซึ่งต้องจ่ายเบี้ยประกันสูงกว่ารถทั่วไป

และแล้วในที่สุด ก็ถึงเวลาขายน้องแดงรถคันเก่าไป  อย่างอาลัย เรียกว่าใช้งานจนคุ้มจริงๆๆค่ะ ส่วนรถคันใหม่มีเพื่อนคนสนิทมาถามขายให้ในราคาถูกแสนถูก เนื่องจากเพื่อนจะกลับเมืองไทย เพื่อนมาเสนอให้ซะขนาดนี้แล้วจะไม่ให้เอาได้อย่างไร  แต่!!!!!! รถคันนี้เป็นสีแดงอีก เวรกรรม !!!! สงสัยดวงถูกโฉลกกับสีแดงแรงฤทธิ์ ไหนๆก็ไหนๆ ยอมจ่ายประกันแพงกว่าหน่อย แต่ก็ได้รถมือสองสภาพอย่างดี อย่างนี้ก็ OK

ค่าเบี้ยประกันนั้น นอกจากจะขึ้นอยู่กับสภาพทั่วไปของรถ และ ตัวผู้ขับรถเองแล้ว สิ่งหนึ่งที่ไม่ควรมองข้าม คือ ใบสั่ง (Ticket) จากตำรวจ เราเป็นคนนึงที่ได้รับใบประกาศเกียร์ติคุณจากคุณตำรวจ มาเชยชมแล้วหลายใบ ทำให้เบี้ยประกันพุ่งพรวด  ต้องเสียค่าประกันแพงกว่าปกติ ซวยจริง ดังนั้นขับรถในอเมริกาต้องระวังมากๆๆนะคะ reccord การมี ticket จะติดอยู่ในประวัติของเราไปอีกหลายปี )

ส่วนใครที่มีประวัติเคยเกิดอุบัติเหตุมาก่อน จะทำให้ต้องจ่ายเบี้ยประกันแพงมากขึ้นด้วย เพราะทางบริษัทประกันทั่วไปจะคิดว่าเราอาจจะมีโอกาสเสี่ยงที่จะเกิดอุบัติซ้ำอีกรอบก็เป็นได้(ซ้ำเติมกันจริงๆ)

นอกจากนี้ ราคาค่าเบี้ยประกันในแต่ละรัฐ ก็ไม่เท่ากันอีกค่ะ ขึ้นอยู่กับความปลอดภัย และความเสี่ยงในรัฐนั่นๆด้วย ยิ่งเป็นรัฐที่มีการจราจรหนาแน่น มีอุบัติเหตุสูง ถ้าเพื่อนๆ คนไหนอยู่ในรัฐ หรือเมืองที่มีโอกาสเสี่ยงเกิดอุบัติเหตุ แล้วหล่ะก็ ซวยไปค่ะ ต้องจ่ายค่าเบี้ยประกันแพงกว่ารัฐอื่นๆด้วย

บริษัทประกันที่ใหญ่ๆ ในอเมริกา ครองตลาดอยู่ไม่กี่บริษัท แต่จะมีบริษัทเล็กๆ ย่อยๆ ในแต่ละท้องที่ การมีประกันกับบริษัทใหญ่ ก็อาจจะสบายใจได้ในระดับหนึ่ง ว่าถ้าเกิดปัญหาอะไรขึ้นมา ประกันรับผิดชอบแน่นอน

เอาหล่ะ ทีนี้มาดูประเภทประกันรถยอดฮิตในอเมริกาที่ทำกันดีกว่าค่ะ มีอยู่สองอย่างคือ full-coverage และ liability

1. full-coverage ก็เหมือนประกันชั้นหนึ่งในบ้านเรานี่แหละค่ะ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เราผิด หรือ ถูก ประกันก็จ่าย เรียกได้ว่า ประกันแบบนี้จ่ายแพงกว่าแต่คุ้มครองเราในทุกกรณีที่เกิดอุบัติเหตุ

2 liability ก็เหมือนกับประกันชั้นสาม ประกันบุคคลอื่น แต่ไม่ได้ประกันตัวเรา คือถ้าเราเป็นฝ่ายผิด เราต้องรับผิดชอบจ่ายค่าเสียหายให้กับคู่กรณีเอง แต่ถ้าเราเป็นฝ่ายถูกชน คู่กรณีของเราต้องเป็นคนรับผิดชอบค่ะ

ถึงแม้จะเลือกแบบใดแบบหนึ่งไปแล้ว ก็ต้องทำความเข้าใจในรายละเอียดให้ดีค่ะว่า ประกันที่เราจะเลือกครอบคลุมอะไรบ้าง มีกี่กรณีที่ประกันไม่ได้ครอบคลุม แล้วถ้าเราต้องการ จะคิดเบี้ยประกันเพิ่มเท่าไร

สำหรับคนที่มีงบน้อย ก็เลือกแบบ  liability ถือว่าค่อนข้างถูกกว่า full-coverage อย่างมากค่ะ

เราก็เลือกแบบ  liability และเคยมีรถสีแดง 2 ประตู จ่ายไปประมาณเกือบ 300 เหรียญ/ 6 เดือน การเลือกจ่ายแบบนี้ถึงแม้จะจ่ายน้อยกว่า แต่ก็เสี่ยงอย่างมากค่ะ เมื่อเกิดอุบัติเหตุขึ้นมาจริงๆแล้ว มันจะไม่คุ้มเลย ที่เราต้องจ่ายค่าซ่อมเอง ค่ารักษาพยาบาล หรือค่าอะไรก็ตามแต่ ต้องจ่ายเองหมด (แต่เราก็จำใจเลือกประกันแบบนี้ค่ะ ด้วยความที่งบน้อย ไม่อยากจ่ายแพง ใครจะเลือกแบบนี้ก็ไม่ว่ากันค่ะ แต่ต้องขับรถอย่างระมัดระวังมาก ถึงมากที่สุดด้วยนะค่ะ )

มีเพื่อนของเราคนหนึ่งมีรถสีแดงเหมือนกัน แต่เป็น 4 ประตู เลือกแบบ full-coverage จ่ายไปทั้งหมดเกือบ 700 เหรียญ/6 เดือน ถือว่าแพงเอาการอยู่ แต่เมื่อพิจารณาดูแล้ว ถือว่าจ่ายแพงมาก เพื่อนคนนี้ใช้รถแค่ เสาร์ กับอาทิตย์ โอกาสเสี่ยงค่อนข้างน้อย

แต่ที่เลือกแบบนี้ เขาให้เหตุผลว่า มันปลอดภัยดี ใครจะรู้หล่ะว่าจะเกิดอุบัติเหตุเมื่อไหร่ ตอนไหน ดังนั้นเพื่อความชัวร์ เขาจึงตัดสินใจเลือกประกันแบบนี้ เราฟังแล้วก็เห็นด้วย มันเป็นเรื่องชีวิตและความปลอดภัยของคนขับเอง ดังนั้นจ่ายแพงกว่า ทำให้สบายใจกว่าไม่ต้องคอยกังวลใจเมื่อรถถูกชนหรือไปชนคนอื่นเข้า

ดังนั้น เราจะเห็นได้ว่า มีปัจจัยหลากหลาย ปีของรถ มูลค่าของรถ ขนาดเครื่อง ประเภทรถ อายุของผู้ขับ ระยะทางที่ขับทุกวัน รัฐที่มีอัตราความเสี่ยงเรื่องอุบัติเหตุ อาชีพ และประวัติการขับรถ ที่ทำให้ราคาเบี้ยประกันมากน้อยแตกต่างกันไป และสุดท้ายก่อนตัดสินใจซื้อประกัน เราต้องลองเช็คดูจากหลายๆบริษัทประกันนะคะ ราคาของแต่ละบริษัทก็ยังมีแตกต่างกันอีกค่ะ

 

เราสามารถเข้าไปทำใบเสนอราคา ของประกันรถได้ที่เว็บนี้ค่ะ (coming soon)

ตัวอย่างการเข้าไปทำในเว็บเสนอราคา Quatation ที่นี้ค่ะ (coming soon)


ขอบคุณภาพจาก www.jeffdavisins.com, www.carsdirect.com, greggmarcus.com,
www.insure.net, www.carinsurancecomparison.com,century21insurances.com

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *