ทำไมคนไทยชอบส่งลูกหลานไปเรียนที่อเมริกา

เป็นความเชื่อแต่ไหนแต่ไรของคนไทยที่ส่งลูกไปเรียนเมืองนอกแล้วจะได้เป็นเจ้าคนนายคน จนถึงเดี๋ยวนี้ความเชื่อเรื่องการไปเรียนเมืองนอกก็ยังไม่เปลี่ยนไป เพราะใบปริญญาจากเมืองนอกนั้น ย่อมจะ โก้ หรู ดูดี กว่าใบปริญญาในบ้านเราเป็นไหนๆ ยิ่งระบบการศึกษาบ้านเราก็มีสภาพอย่างที่รู้ๆ กัน จึงเป็นธรรมดาที่ผู้มีสตุ้งสตางค์ทั้งหลายย่อมอยากจะส่งเสียลูกหลานให้ไปร่ำเรียนกันที่เมืองนอกเมืองนา

ประเทศมหาอำนาจเจริญด้วยเทคโนโลยี และมีความคิดเสรีอย่างอเมริกาก็เป็นตัวเลือกแรกๆ ที่พ่อแม่ส่งลูกหลานไปเรียนที่อเมริกา นอกจากความรู้ที่เรียนมาแล้ว ที่เด็กนักเรียนนอกจะได้เปรียบมากกว่าเด็กนักเรียนไทยนั่นคือเรื่องของภาษาที่นักเรียนไทยนั้นอ่อนแอ แม้ว่าจะมีหลักสูตรสอนกันในโรงเรียนตั้งแต่อนุบาลจนถึงมหาวิทยาลัย แต่เด็กนักเรียนไทยส่วนใหญ่ก็ยังพูดภาษาอังกฤษกันไม่ได้สักกะที อาจจะด้วยเหตุผลที่เด็กนักเรียนไทยได้ใช้ภาษาอังกฤษแค่ในห้องเรียนเท่านั้น  ซึ่งต่างจากนักเรียนนอกที่ต้องใช้ภาษาอังกฤษกันตลอดเวลา ตั้งแต่ลืมตาตื่นจนหัวถึงหมอนทีเดียว อีกข้อหนึ่งที่นักเรียนไทยสู้นักเรียนนอกไม่ได้นั่นคือความมั่นใจในตัวเอง อเมริกาเป็นประเทศที่เปิดกว้างด้านความคิด ชาวอเมริกันก็จะมีการแสดงออกในความคิดเห็นของตัวเองอยู่เสมอซึ่งใครที่ไปเรียนที่อเมริกาย่อมจะได้รับอิทธิพลส่วนนี้มาเช่นกัน ต่างจากเด็กนักเรียนไทยที่ค่อนข้างจะขี้อายตามนิสัยของคนไทย อย่างที่หลายคนคงจะจำได้ ตอนที่คุณครูถามคำถามนักเรียนในห้องเรียน ทุกคนก็จะเงียบกริบ ไม่มีใครกล้ายกมือตอบคำถาม ทั้งที่หลายคนก็มีคำตอบอยู่แล้วในใจ อีกเรื่องที่สร้างความมั่นใจให้นักเรียนนอก นั่นคือการที่เด็กนักเรียนนอกนั้นจะต้องทำอะไรด้วยตนเอง กล้าที่จะตัดสินใจและแก้ไขปัญหาเรื่องต่างๆ ด้วยตนเอง เพราะคนที่พึ่งพาได้ก็เห็นจะมีแต่ตัวเองเท่านั้น ก่อนที่จะส่งลูกหลานไปเรียนที่อเมริกาก็ต้องพิจารณาหลายๆ ด้าน เรื่องที่สำคัญมากเรื่องนึง นั่นคือสถานที่เรียน เพราะที่อเมริกามีมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงระดับโลกหลายแห่ง เราจึงยกตัวอย่างมหาวิทยาลัยดังๆ มาให้รู้จักกันคร่าวๆ เผื่อจะมีใครสนใจแพ็คกระเป๋าไปเรียนที่อเมริกา

Harvard University

มหาวิทยาลัย Harvard ที่หลายคนคุ้นหูในกิตติมศักดิ์ถูกยกย่องให้เป็นมหาวิทยาลัยเก่าแก่และที่ดีที่สุดในโลก Harvard เป็นมหาวิทยาลัยเอกชนอยู่ในเมืองเคมบริดจ์ รัฐแมสซาชูเซตส์ มีชื่อเสียงด้านคุณภาพทั้งทางวิชาการ และบุคลากร คนไทยที่จบการศึกษาจาก Harvard ด้วยเกียรตินิยมที่เป็นที่รู้จัก คุณวนิษา เรซ หรือหนูดี ผู้เชี่ยวชาญทางด้านสมองและการเรียนรู้ ผู้เขียนหนังสือ “อัจฉริยะสร้างได้” ที่บอกว่าคนธรรมดาก็สามารถฝึกฝนและสร้างตัวเองให้เป็นอัจฉริยะได้

Stanford University

มหาวิทยาลัยที่ถูกจัดอันดับเป็นมหาวิทยาลัยอันดับสองของโลก เป็นมหาวิทยาลัยเอกชนในเมืองสแตนฟอร์ด รัฐแคลิฟอร์เนียที่มีความเป็นเลิศทางวิชาการไม่แพ้ Harvard จุดเด่นของ Stanford ที่ไม่เหมือนใครนั่นคือชื่อเสียงด้านการกีฬา นักกอล์ฟเชื้อสายไทยที่กวาดรางวัลระดับโลกมานับไม่ถ้วนอย่าง ไทเกอร์ วูดส์ ก็เคยเรียนที่นี่

Massachusetts Institute of Technology

สถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์หรือที่เรียกกันสั้นๆ ง่ายๆ ว่า เอ็มไอที (MIT) สถาบันอุดมศึกษาในเมืองเคมบริดจ์ รัฐแมสซาชูเซตส์ มีจุดเด่นและชื่อเสียงด้านวงการวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ซึ่งอาจารย์และศิษย์เก่าล้วนแต่มีชื่อเสียงในฐานะ นักวิทยาศาสตร์ นักบินอวกาศ นักเขียน ผู้บริหาร นักการเมือง เยอะแยะไปหมด

Yale University

มหาวิทยาลัยเอกชน ในเมืองนิวฮาเวน รัฐคอนเนตทิคัต เป็นมหาวิทยาลัยที่เก่าแก่เป็นอันดับสาม มีจุดเด่นด้านการแสดงและดนตรี นักแสดงที่มีชื่อเสียงอย่าง Meryl Streep และ Edward Norton ก็จบการศึกษาจากที่นี่เช่นกัน

Princeton University

มหาวิทยาลัยเอกชนที่เก่าแก่เป็นอันดับที่สี่ของอเมริกา ตั้งอยู่ที่เมืองพรินซ์ตัน ในรัฐนิวเจอร์ซีย์ มีชื่อเสียงมากในด้านมนุษยศาสตร์ สังคมศาสตร์ และวิศวกรรมศาสตร์ ประธานาธิบดีคนที่ 4 ของสหรัฐอเมริกา เจมส์ เมดิสัน ก็จบการศึกษาจากที่นี่  และ จอห์น เอฟ. เคนเนดี ประธานาธิบดีคนที่ 35 ของสหรัฐอเมริกา ก็เคยศึกษาที่นี่แต่ลาออกไปก่อนจบการศึกษาซะก่อน

ยังมีมหาวิทยาลัยที่มีคุณภาพและชื่อเสียงในอเมริกาอีกมากที่ยังไม่ได้เอ่ยถึง ทั้งนี้ทั้งนั้นสถานศึกษาที่มีชื่อเสียงไม่ได้เป็นเครื่องการันตีถึงความสำเร็จ การส่งลูกหลานไปเรียนที่ต่างประเทศก็เช่นกัน ไม่ได้รับประกันว่ากลับมาแล้วจะกลายเป็นบุคคลที่ประสบความสำเร็จเสมอไป เพราะมีอยู่หลายคนที่ไปเรียนต่างประเทศแล้วไม่เป็นโล้เป็นพาย เสียผู้เสียคนก็มีถมไป และบุคคลที่ประสบผลสำเร็จทั้งๆ ที่เรียนไม่จบก็เยอะ ยกตัวอย่าง CoCo Chanel, Michael Dell, Henry Ford, Bill Gates, Steve Jobs, Lady Gaga ที่คงจะไม่ต้องอธิบายว่าใครเป็นใครกันบ้าง