เที่ยว Night Club ครั้งแรกที่ Baltimore
หนุ่มๆสาวๆขาแดนซ์ท่านไหนที่ชื่นชอบการท่องเที่ยวยามราตรี ในวันนี้น้ำตาลมีประสบการณ์ครั้งแรกกับการเข้า Night club ในเมือง Baltimore รัฐ Maryland ให้ฟังกันค่ะ แม้ว่าที่ไทยเราจะเคยได้ไปเที่ยวกลางคืนอยู่บ่อยๆ แต่ครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกของน้ำตาลในอเมริกา นอกจากนี้ยังเป็นครั้งแรก ครั้งเดียว และขอให้เป็นครั้งสุดท้ายในชีวิตที่น้ำตาลจะได้สวม “รองเท้าผ้าใบ” เข้าผับด้วยจ้า
เรื่องมีอยู่ว่าเมื่อน้ำตาลไปถึงบ้านเพื่อนที่ Baltimore แล้ว ก็ได้พบว่าที่บ้านเพื่อนคนไทยของเราซึ่งเป็นออแพร์เหมือนกันในขณะนั้นเขาได้จัดงานเลี้ยงส่งออแพร์คนเก่าซึ่งเป็นชาวบราซิล โดยในบ้านได้มีการจัดปาร์ตี้เล็กๆแบบบุฟเฟ่เป็นกันเองและมีเพื่อนๆออแพร์จากหลายๆเชื้อชาติมาร่วมสนุกกันตั้งแต่เมื่อช่วงบ่ายก่อนที่น้ำตาลจะเดินทางมาถึง
พอเสร็จจากงานเลี้ยงประมาณหัวค่ำ ต่างฝ่ายก็แยกย้ายกันกลับไป “Get ready!” เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับปาร์ตี้ภาคต่อที่ Night club ใกล้ๆบ้านกันค่ะ ซึ่งน้ำตาลและเพื่อนก็ถูกลากให้ไปกับเขาด้วย ในใจตอนนั้นของน้ำตาลแทบจะร้องไห้ค่ะ เพราะอากาศที่นั่นยังหนาวมากน้ำตาลเลยมีแค่กางเกงยีนส์หนาๆ เสื้อกันหนาวแขนยาวแบบมีฮูดตัวใหญ่ๆ กับรองเท้าผ้าใบพร้อมวิ่งสีขาว นอกจากนี้ยังต้องใส่แว่นสายตาตลอดเพราะเป็นคนสายตาสั้นซึ่งคืนนั้นคอนแทคเลนส์ก็ไม่ได้เตรียมมาด้วย จะยืมของจากเพื่อนคนอื่นก็เกรงใจที่สำคัญคงจะหาไซค์เรายากด้วยเพราะเพื่อนฝรั่งตัวสูงๆใหญ่ๆกันทั้งนั้น วินาทีนั้นน้ำตาลเลยได้แต่หันไปขอความคิดเห็นจากเพื่อนผู้ร่วมชะตากรรมเดียวกันว่า “เราจะไปกันจริงๆเหรอวะ?” สุดท้ายก็ตกลงกันว่าจะลองดูกันสักตั้งค่ะ!!
หลังจากที่ Miss International ทั้งหลายเธอได้กลับไปแต่งองค์ทรงเครื่อง ก็ได้กลับมารวมตัวกันที่บ้านเพื่อนของเราอีกครั้งเพื่อจะแชร์รถและไปพร้อมกัน เหตุการณ์ ณ ตอนนั้นก็ตามที่เราได้คาดไว้ค่ะ แต่ละนางนี่ทำให้ “ฉันจำพวกเธอไม่ได้!!” จริงๆ เพราะเธอจัดมาเต็มทั้งขนตา รองเท้า หน้า ผม ลอง
คิดถึงตอนที่เราแต่งตัวเที่ยวในไทยดูนะคะ เหมือนๆกันนั่นแหละค่ะ แต่ส่วนใหญ่วัยรุ่นไทยเราจะแต่งหน้าใสๆหรือเน้นโทนสีนู้ดมากกว่าส่วนวัยรุ่นที่นี่โดยมากจะแต่งหน้าโทนเข้มค่ะ กรีดอายไลน์เน่อหนาๆยิ่งเขียนหางยาวได้มากเท่าไหร่ยิ่งดี อายแชโด้แบบวิบวับก็โปะเข้าไปให้เยอะที่สุดเท่าที่บนเปลือกตาจะมีพื้นที่ให้ทำได้ บางคนนี่มาแบบหมีแพนด้าเลยก็มีนะคะ อาจเป็นเพราะบ้านเขาไม่ได้มีเหงื่อไหลไคลย้อยเหมือนเราเลยไม่กลัวเครื่องสำอางค์ละลายเหมือนบ้านเรา และสีปากก็ “แซ่บเว่อร์” กันทุกคนค่ะไม่มีใครยอมใคร ส่วนเสื้อผ้ายิ่งเปิดส่วนสำคัญได้มากเท่าไหร่ก็ยิ่งดี แต่น้ำตาลกับเพื่อนในขณะนั้นกลับยืนหนาวจนปากซีดปากสั่นอยู่น่ะสิคะ!! เรื่องแต่งตัวในวันนี้ใครจะสวยยังไงเราก็ไม่สนละ พกไปแต่ความมั่นใจล้วนๆ “ฉันจะไปประกาศศักดาให้สาวไทยด้วยรองเท้าผ้าใบคู่นี้แหละ!!”
วันนั้นที่ไปด้วยกันทั้งหมดรวมน้ำตาลกับเพื่อนแล้วก็ประมาณ 12 คนค่ะ ส่วนร้านที่ไปน้ำตาลไม่ขอเอ่ยชื่อนะคะ แต่ตัวร้านก็ตั้งอยู่ในโซนที่มี Night Club กันเยอะๆ เหมือนรัชดา ทองหล่อ เอกมัย บ้านเรานั่นแหล่ะค่ะ เราเอารถยนต์ไปสองคันแต่วนหาที่จอดกันยากมากเพราะที่จอดดีๆและฟรีส่วนใหญ่ก็มีคนจับจองไปหมดแล้ว คราวนี้ก็เหลือแต่ที่เสียเงินค่ะ เสียเงินน้อยหน่อยก็คือข้างถนนส่วนถ้ากระเป๋าหนัก็จอดในที่จอดของเอกชนได้เลย แต่สำหรับพวกเราก็ขอเสียน้อยๆไว้ก่อนดีกว่า เมื่อถึงหน้าร้านแล้วก็ไปยืนเข้าแถวรอตรวจบัตรค่ะ ที่เที่ยวกลางคืนในอเมริกาผู้ใช้บริการณ์จะต้องมีอายุ 21 ปีบริบูรณ์ขึ้นไปจึงจะเข้าและซื้อเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จากทางร้านได้ ซึ่งบางแห่งต่ำกว่า 21 ปีก็มีนะคะแต่จะซื้อเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในร้านไม่ได้ค่ะ ให้เพื่อนที่อายุถึงเกณฑ์แล้วซื้อให้ก็ไม่ได้เช่นเดียวกัน ผิดกฏหมายค่ะ ซึ่งถ้าถูกจับได้ขึ้นมาโทษของความผิดก็ขึ้นอยู่กับกฎหมายของแต่ละรัฐจ้า
เพื่อนๆที่ได้อ่านบทความที่แล้วคงจำกันได้ว่าน้ำตาลไม่ได้พกพาสปอร์ตติดตัวมาด้วย ที่เตรียมมาก็แค่ใบก๊อปปี้ของหน้าวีซ่าค่ะ ดังนั้นน้ำตาลจึงดันหลังเพื่อนคนอื่นให้เข้าไปในร้านกันก่อน ส่วนน้ำตาลกับเพื่อนคนไทยก็เดินรั้งท้ายค่ะแต่ให้การ์ดเห็นว่าเรามาด้วยกันเป็นกลุ่มใหญ่จากนั้นน้ำตาลก็ยื่นใบก๊อปปี้นั่นแหละค่ะให้แล้วบอกการ์ดว่า “I just came to the US a couple weeks ago and I am here for my friend party but I left my passport at home. Please let’s me come in.” การ์ดจ้องลึกลงไปในดวงตาหลังกรอบแว่นอันหนาเตอะบนหนังหน้าสดแบบไร้ any makeup ของน้ำตาลก่อนจะผายมือให้เราเดินตามเพื่อนเข้าไปด้านในค่ะ
ร้านที่ไปนี้ไม่ใหญ่มากนะคะดูจากสายตาพอคร่าวๆก็ประมาณ 100 ตารางวาเห็นจะได้ แต่นักท่องเที่ยวในคืนนี้ค่อนข้างมากอาจเป็นเพราะในวันพรุ่งนี้ เมือง Baltimore เขาจะมีการจัดงาน St. Patrick’s Day กัน ซึ่งหลักๆที่น้ำตาลทราบก็จะมีขบวนพาเหรด และการแข่งขันวิ่งมาราธอนกันค่ะ ค่ำคืนนี้น้ำตาลจึงได้เห็นหลายๆคนเพ้นท์บนใบหน้าเป็นรูปใบโคลเวอร์สีเขียว ห้อยสร้อยสีเขียว ใส่หมวกและเสื้อผ้าสีเขียว คือพร๊อบทุกอย่างจะเป็นโทนสีเขียนทั้งหมดค่ะ ซึ่งเพราะอะไรนั้นบทความต่อไปน้ำตาลจะนำเรื่องราวมาเล่าให้เพื่อนๆได้อ่านกันแน่นอน แต่ตอนนี้ขอกลับมาที่เรื่องแดนซ์กันก่อนนะคะ
น้ำตาลคิดว่าถ้าดูจากสถานที่ หน้าตากิริยารวมถึงการแต่งตัวของแขกที่มาเที่ยว และการบริการของทางร้าน น้ำตาลขอเทียบกับ night club โซนรัชดาบ้านเราค่ะ คือยังไม่ถึงขั้น RCA เอกมัย หรือทองหล่อ แต่ยังคงมีความมันส์แบบบ้านๆ โจ๊ะพรึมๆอยู่ สำหรับคนที่เที่ยวบ่อยคงนึกภาพออกนะคะ แต่สำหรับคนที่ไม่เชี่ยวชาญด้านนี้เท่าไหร่ก็ดูจากคะแนนที่น้ำตาลให้แล้วกันค่ะ คือน้ำตาลขอให้แค่ 5 เต็ม 10 เป็นคะแนนกลางๆไว้ก่อนละกัน ค่าเบียร์ขวดเล็กๆแบรนด์ที่มีขายทั่วไปในอเมริกาก็ตกเฉลี่ยขวดละ $4-$6 ส่วนที่แพงขึ้นมาหน่อยซึ่งมีตั้งแต่ราคา $7 ขึ้นไปจนถึง $20-$25 ต่อแก้วหรือช๊อต ซึ่งน้ำตาลคิดว่าน่าจะทำกำไรให้ทางร้านที่โน่นได้มากกว่าที่ไทยก็คงจะเป็นพวกพวกมิกซ์ดริ๊งค่ะ โดยเฉพาะพวกแอลกอฮอล์ที่ผสมน้ำผลไม้ต่างๆเพราะแขกผู้หญิงจะดื่มได้ง่ายหน่อย และเท่าที่เห็นน้อยคนมากค่ะที่จะเปิดเหล้าเป็นขวดๆเหมือนที่ไทย ทั้งๆที่ราคาเหล้าของที่นี่กับที่ไทยไม่ได้ต่างกันเท่าไหร่เลยนะคะแต่อาจเป็นเพราะวัฒนธรรมการกินที่ต่างกัน
ทุกครั้งที่เราจ่ายค่าเครื่องดื่มนั้นเราก็ต้องให้ทิปด้วยค่ะ ตามมารยาทการให้ทิปโดยทั่วไป 15-20% ดังนั้นน้ำตาลจึงต้องจ่ายทิปพนักงาน $1-$2 ต่อเครื่องดื่มหนึ่งแก้วหรือหนึ่งขวดค่ะ ซึ่งถ้าใครสั่งไอ้ของที่แพงๆหน่อยก็จำเป็นจะต้องให้ทิปเยอะขึ้นเพื่อให้เหมาะและสมกับราคาของที่ตัวเองสั่งด้วยนะคะ คนที่นี่เขาไม่ค่อยงกหรือเห็นแก่ตัวกันเท่าไหร่หรอกค่ะ เพราะกว่าคนคนหนึ่งจะมาเป็นบาเทนเดอร์ในอเมริกาได้นั้น เขาต้องเรียนอะไรต่อมิอะไรมาก่อนตั้งหลายอย่าง เสียเงินไปไม่รู้เท่าไหร่อีกทั้งยังต้องสอบเอาใบไลเซ่นของรัฐให้ได้ก่อนเข้ามาทำงานอีกด้วย
ดังนั้นเงินทิปนี้จึงไม่ใช่แค่เงินพิสวาทเพียงอย่างเดียวเหมือนที่คนไทยหลายๆคนเคยเข้าใจค่ะ โดยเฉพาะกับร้านที่ไม่ได้มีเงินเดือนให้บาเทนเดอร์เลย เงินทิปนี่แหละค่ะคือรายได้เพียงอย่างเดียวของพวกเขา คืนนั้นน้ำตาลกับเพื่อนคนไทยไม่ได้เมาค่ะ แต่คนอื่นๆโดยส่วนใหญ่เรียกว่า “ปลิ้น” ได้เลยค่ะ โดยเฉพาะนางสาวชาวบราซิลเจ้าของงาน พอกรึ่มได้ที่กันแล้วก็ยกพวกขึ้นไปยืนเต้นบนโต๊ะของทางร้านจนการ์ดต้องวิ่งมาเตือนอยู่หลายรอบ จะมีก็เพียงเพื่อนสองคนที่ต้องขับรถนั่นแหละค่ะที่ยังยืนตัวตรงกับเราได้อยู่และด้วยความที่ว่าน้ำตาลกับเพื่อนจะต้องตื่นแต่เช้าไปดูงานฉลอง St. Patrick’s Day กันด้วยล่ะค่ะจึงต้องสำรวมตัวเองกันหน่อย
พวกเรามีความสุขสนุกสนานกันจนกระทั่งตีหนึ่งกว่าๆ ก่อนร้านใกล้จะปิดโน่นแหละค่ะจึงเกิดเรื่องขึ้น (ร้านปิด 2.00AM) เมื่อมีแขกฝรั่งคนหนึ่งตัวไม่ใหญ่มากแต่สามารถเดินเข้ามาในร้านแล้วลากเอาคอเสื้อบาเทนเดอร์หน้าตี๋ตัวใหญ่ที่น่าจะมีเชื้อสายชาวเอเชียอย่างเราและพาตัวออกจากร้านไปได้ ก่อนจะมีการตะลุมบอลกันข้างๆร้านนั่นแหละค่ะ ซึ่งสาเหตุเกิดจากอะไรนั้นพวกเราก็ไม่ทราบแต่ที่ได้เห็นเหตุการณ์ภายนอกได้ก้เพราะเขามาชกต่อยกันตรงข้างๆหน้าต่างที่พวกเรายังแดนซ์กันกันอยู่ก่อนหน้านี้ ไม่ถึง 5 นาที รถตำรวจก็มาค่ะ ขอบอกว่าตำรวจมาเร็วมากๆอันนี้น้ำตาลประทับใจจริงๆค่ะ เพราะรู้กันอยู่ว่าถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนี้ในบ้านเราจะเป็นอย่างไร แล้วพอตำรวจมาการตะลุมบอลก็เหมือนจะใหญ่ขึ้นค่ะ ทางตำรวจจึงเริ่มที่จะกักคนในร้านเอาไว้เพราะไม่รู้ใครเป็นใครและไม่รู้ว่าใครจะก่อเหตุเพิ่มอีก คราวนี้ก็แย่สิคะเพราะถ้าเขาสุ่มตรวจบัตรขึ้นมาน้ำตาลจะซวยเอา ก็เรามีแค่ใบก๊อปปี้จะ
ไม่ยืนยันอะไรได้ล่ะนี่? ว่าแล้วก็ดึงแขนเพื่อนเลยค่ะ ไปด้วยกันกี่นางก็ลากกันออกไปให้หมดจนในที่สุดก็พากันผ่านเหตุการณ์วุ่นวายมาได้ แต่ยังไม่วายก่อนถึงที่จอดรถก็มีตีกันอีกค่ะ
คราวนี้เป็นใครตีใครก่อนไม่ทราบแต่เห็นฝรั่งผู้ชายคนหนึ่งวิ่งตัดหน้ากลุ่มพวกเราไปแล้วก็มีอีกสองชายวิ่งไปจับตัวเอาไว้ได้ก่อนจะต่อยกันนัวเนียตรงกลางถนนนั่นแหละค่ะ คงพากันมาจากร้านอื่นที่อยู่ใกล้ๆกันนี้ ส่วนตำรวจที่ขับรถตามมาควบคุมสถานการณ์ก็อย่างเท่ห์เชียวค่ะ เพราะเธอเป็นสาวผิวสีแม้ว่าหุ่นจะไม่ดีเท่าไหร่แต่เธอก็มีปืนและตะบองแนบเอวมาด้วยนะจ๊ะ
เมื่อนึกย้อนถึงเหตุการณ์ในวันนั้นแล้ว น้ำตาลคงต้องขอของพระคุณรองเท้าผ้าใบสีขาวคู่นั้นเป็นอย่างยิ่งที่ทำให้เรารอดตายจากเหตุการณ์เช่นนั้นมาได้จนถึงทุกวันนี้ ไว้เจอกันใหม่คราวหน้านะคะ ^___^
ภาพประกอบจาก : www.uniquesquared.com, www.vegasnews.com,esi-security.us