เมืองในอเมริกา ที่กำลังบูมมากสุด
อเมริกา คือเป้าหมายอันดับต้นๆที่หลายคนอยากไปเรียนต่อ ไปเที่ยว รวมถึงไปทำงานด้วยเช่นกัน หลายคนไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นที่เมืองไหนดี ถ้าใครยังไม่ค่อยรู้ว่าจะไปที่ไหนในประเทศนี้ดี เพราะช่างกว้างใหญ่เหลือเกิน วันนี้ เลยขอรวบรวม เมืองในอเมริกา ที่กำลังบูมมากสุด มาฝากกันค่ะ
จากการ สำรวจของ สำนักข่าวบลูมเบิร์ก และ Nikhil Hutheesing โดยใช้จำนวนประชากร,ข้อมูลผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในท้องถิ่น(GDP) และปรับด้วยอัตราเงินเฟ้อมาเป็นมาตรวัด สามารถวัดอัตราความเจริญเติบโตได้โดยให้คะแนนจาก 1 ถึง 100 เราไปดูกันเลยค่ะ ว่ามีเมืองไหนบ้าง ที่บูมมากที่สุดในอเมริกา
1.Austin-Round Rock, Texas
ประชากร 1,783,519 รายเพิ่ม +11.60 % (เทียบกับประชากรปี 2007 )GDP เติบโต 3.26% ชาวออสตินภูมิใจกับเมืองของตัวเองจึงสวมเสื้อทีเวิ๊ตที่อ่านได้ว่า Keep Austin Weird หรือเก็บออสตินไว้ให้เป็นเมืองแปลกๆ อัตราการว่างงาน 5.4 % (ขณะที่สหรัฐมีอัตราการว่างงาน 7.8 %) เมืองนี้เป็นที่ตั้งของบริษัทไฮเทคเช่น Dell Inc.,และบริษัท Apple Inc.กำลังขยายมาเปิดกิจการมีเนื้อที่ 1 ล้านตารางฟุต เชื่อว่าในปี 2013 จะสร้างงานเพิ่มอีก 25,000 อัตรา
2. New Orleans-Metairie-Kenner, Louisiana
ประชากร 1,191,089 คนเพิ่ม 15.60 % GDP เติมโต 2% ภายหลังจากเฮอริเคนแคทริน่าและริต้าแล้วประชากรเริ่มอพยพกลับเข้ามาอยู่เมืองนี้ระหว่างปี 2007-2011 อัตราการว่างงานอยู่ที่ 5.9 % งานที่เพิ่มขึ้นมาทั้งภาคการก่อสร้าง,อุตสาหกรรมภาพยนตร์ แต่สิ่งที่จะลดลงตามมาคือนโยบายของผู้ว่าการรัฐ บ๊อบบี้ จินดาล จะเพิ่มการจัดเก็บภาษีอุตสาหกรรมภาพยนตร์
3.Raleigh-Cary, North Carolina
ประชากร 1,163,515 ราย เพิ่ม 11.06 % GDP เติบโต1.49%
อาชีพไฮเทคบูมขึ้นในเขตที่เรียกว่า Research Triangle Park มีแรงงานประกอบอาชีพอยู่ 40,000 ราย แม้ว่าอัตราการว่างงานจะสูง 7.5 % แต่ก็ถือว่ามีการเติบโตขึ้นมากเพราะมีบริษัทไฮเทคหลายแห่งตั้งอยู่ประกอบด้วย International Business Machines Corp. (IBM), Cisco Systems Inc. และ Lockheed Martin Corp. นักวิชาชีพเหล่านี้ไม่ใช่คนท้องถิ่นอย่างเดียวแต่ยังไปดึงมาจากทั่วโลก
4. San Antonio, Texas
ประชากร 2,194,927 ราย เพิ่ม 10.26 % GDP เติบโต 1.47% เศรษฐกิจเติบโตเพราะมีอุตสาหกรรมน้ำมันดิบและการขุดเจาะสำรวจน้ำมัน ประกอบกับกองทัพอากาศ (Randolph Air Force Base) ก็ตั้งอยู่เมืองนี้ อัตราการว่างงานอยู่ที่ 6.1 % ศาสตราจารย์สตี๊ฟ เมอร์ด๊อกซ์ แห่งมหาวิทยาลัยไรซ์(RiceUniversity)กล่าวว่าเราไม่ใช่เมืองเล็กอีกต่อไป ถือเป็นเมืองใหญ่อันดับ 7 ของสหรัฐ
5. Houston-Sugar Land-Baytown, Texas
ประชากร 6,086,538 คน เพิ่ม 8.15 % และ GDP เติบโต 1.55% เช่นเดียวกันเมืองนี้มีอุตสาหกรรมน้ำมันดิบและแก๊สธรรมชาติ,อุตสาหกรรมเหมืองแร่ของบริษัท BHP Billiton Ltd. และ El Paso Mine Machinery Corp.เป็นผู้จ้างงานขนาดใหญ่ อีกทั้งฐานจรวดขององค์การนาซ่า(JohnsonSpaceCenter) อัตราการว่างงาน 6.3 % แม้ว่าเศรษฐกิจจะถดถอยตามภาพรวมของสหรัฐแต่เมืองนี้กลับฟื้นตัวได้เร็วกว่าที่อื่นๆ
6.Washington, D.C. Metro Area
เมืองหลวงของสหรัฐมีประชากร 5,703,948 คน เพิ่ม 7.49 % และGDP เติบโต 1.46 % เมืองนี้เมื่อนับรวมเอาVirginia และ Maryland เข้าด้วยกันแล้วมีอัตราการจ้างงานเพิ่ม 140,000 ราย บริษัทรับเหมาใหญ่ๆที่ได้สัญญาการว้าจ้างจากรัฐบาลตั้งอยู่ครบ อาทิเช่น Raytheon Co., General Dynamics Corp. และ Northrop Grumman Corp. เป็นเมืองที่ผู้ประกอบวิชาชีพไฮเทคเพิ่มสูง อัตราการว่างงาน 5.5 %
7.Oklahoma City, Oklahoma
ประชากร 1,278,053 รายเพิ่ม 7.13 % GDP เติบโต 1.44% เมืองนี้ทุ่มเงิน 1 พันล้านดอลลาร์เพื่อฟื้นฟูระบบสาธารณูปโภคของตัวเองในรอบ 5 ปีข้างหน้า เช่นการปรับปรุงโรงเรียน,พัฒนาทางเดินและเส้นทางต่างๆ สร้างคอนเวนชั่นเซ็นเตอร์และศูนย์แสดงสินค้าขึ้นมาใหม่ อัตราการว่างาน 4.9 % งานในเมืองนี้มีอยู่ทั่วไปเพราะมีบริษัทแก๊สธรรมชาติ 3 บริษัทใหญ่ ตั้งอยู่ประกอบด้วยDevon Energy Corp., Continental Resources Inc. และ Chesapeake Energy Corp.
8. Nashville-Davidson-Murfreesboro-Franklin, Tennessee
ประชากร 1,617,142 เพิ่ม 6.29 % GDP เติบโต 1.37% ใครๆก็ทราบว่าเมืองNashville เป็นเมืองแห่งอุตสาหกรรมเพลง เมืองของเอลวิส เพรสลีย์ ปัจจุบันยังมีอุตสาหกรรมใหญ่ๆเข้าไปตั้งอยู่อาทิเช่นสำนักงานใหญ่ Nissan Motor Co.’s ,บริษัทการพิมพ์คือ Thomas Nelson Inc., ผู้พิมพ์คัมภีร์ไบเบิ้ลรายใหญ่ อัตราการว่างงาน 6.4 %
9. Portland-Beaverton Oregon, Vancouver, Washington
ประชากร 2,262,605 ราย เพิ่ม 4.02 % GDP เติบโต 5.23% ปอร์ตแลนด์เป็นเมืองแห่งกุหลาบ(City ofRoses) และเป็นเมืองที่เศรษฐกิจของประเทศเติบโตที่สุด ซิตี้ลงทุนเอง 1 พันล้านดอลลาร์ก่อสร้างรถไฟระยะสั้นสายใหม่เพื่อการคมนาคมกับเมืองรอบๆ อีกทั้งการจราจรติดมากขึ้นนับว่าติดมากเป็น 4 เท่าของอัตราการจราจรติดขัดในประเทศ
อัตราการว่างงาน 8.3 % แต่ค่าครองชีพถือว่าต่ำที่สุด เป็นเหตุให้นักศึกษาPortland State Universityไม่สนใจที่จะเข้าทำงานกับบริษัทใหญ่ ส่วนหนึ่งเริ่มทำธุรกิจส่วนตัวเพื่อหารายได้เล็กๆน้อยๆให้กับตัวเอง แทนที่จะเข้าสมัครงานกับบริษัทใหญ่ๆอย่าง Intel Corp. และ Nike Inc.
10. Charlotte-Gastonia-Concord, North Carolina
ประชากร1,795,472 รายเพิ่ม 8.71 % อัตราเติบโต GDP 0.14% ขณะที่ปี 2012 ประเมินว่ามีประชากรเพิ่มเป็น 2.3 ล้านคน เหตุเพราะอุตสาหกรรมธนาคารอยู่เขตนี้ อีกประการหนึ่งสนามบิน Charlotte Douglas International Airport อันเป็นฐานของ US Airways เป็นสนามบินพลุกพล่านอันดับ 6 ของสหรัฐ แม้ว่าจะมีการลอยแพพนักงานธนาคารในช่วงที่เศรษฐกิจถดถอยก็ตาม แต่ปัจจุบันเริ่มมีการจ้างงานเพิ่มขึ้น อีกทั้งมีบริษัทขนาดใหญ่ไปตั้งอยู่และจ้างงงานมากอาทิเช่นบริษัทของเยรมนี Siemens AG ไปตั้งโรงงานผลิตกังหัน
11. Dallas-Fort Worth-Arlington, Texas
ประชากร 6,526,548 รายเพิ่ม 6.21 % GDP เติบโต 0.84% ผู้คนได้รับการว่าจ้างจากอุตสาหกรรมน้ำมันดิบและแก๊สธรรมชาติ แม้ว่าจะไม่มากเหมือนในเขตฮิวสตันก็ตาม อัตราการว่างงาน 6.3 % อีกทั้งค่าครองชีพต่ำ ทำให้ผู้คนอพยพไปอยู่มากขึ้นประเมินว่าปี 2012 ประชากร 6.7 ล้านคน
12. San Jose-Sunnyvale-Santa Clara, California
ประชากร 1,865,450 ราย เพิ่ม 3.43 % GDP เติบโต 4.37% ประเมินว่าปี 2012 ประชากรจะเพิ่มเป็น 1.9 ล้านราย อัตราการว่างงาน 7.6 % เขตนี้เป็นพื้นที่ของไฮเทค ในช่วงเกิดวิกฤติอสังหาริมทรัพย์ราคาบ้านได้รับผลกระทบอย่างหนัก ราคาบ้านตกฮวบไป 34 % แต่เมื่อฟื้นตัวในเขต San Jose/Sunnyvale กลับฟื้นตัวอย่างเข้มแข็งสาเหตุไม่ใช่เพราะเศรษฐกิจโดยท้องถิ่น แต่เพราะบริษัทไฮเทคใน Silicon Valley มีตลาดลูกค้าอยู่ทั่วโลก
ขอบคุณข้อมูลและภาพจาก:http://www.bloomberg.com/, http://asianpacificnews.com/, fashionfreeway.wordpress.com ,