ประสบการณ์สุดมันส์ในอเมริกา

เมื่อ ตกเครื่องบินในอเมริกา- เพราะความกว้างใหญ่ไพศาลของประเทศนี่แหละค่ะที่ทำให้การเดินทางโดยเครื่องบินโดยสารเป็นวิธีเดินทางหลักของชาวสหรัฐอเมริกา  เพราะฉะนั้นโดยปกติแล้วสนามบินจะเป็นที่ที่มีคนเยอะและยุ่งวุ่นวายมาก  แต่ถ้าป็นช่วงท่องเที่ยวหรือเทศกาลสำคัญๆก็จะยิ่งไปกันใหญ่  ถ้าจะให้เอ่ยชื่อก็ต้องช่วงคริสมาตส์ต่อไปจนถึงปีใหม่นั่นแหละค่ะที่วุ่นวายที่สุด  ทุกคนก็คงจะทราบดีอยู่แล้วว่าเทศกาลคริสมาตเป็นเทศกาลสำคัญของครอบครัวเปรียบได้กับช่วงสงกรานต์ของบ้านเรา  ที่นี่คนส่วนใหญ่ก็จะเดินทางไปเยี่ยมญาติผผู้ใหญ่หรือเพื่อนฝูง  ทำให้ตั๋วเครื่องบินขายดีเป็นเทน้ำเทท่า

ข้อดีมากถึงมากที่สุด ของการช้อปปิ้งที่อเมริกาก็คือ เราสามารถคืนของได้ค่ะ ไม่แม้ว่าเวลาจะผ่านไปนานเป็นเดือน หากยังอยู่ในกำหนดเวลาและมีใบเสร็จยืนยัน เราก็จะได้เงินคืนจาก ร้านค้าในอเมริกา อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย เท่าๆกับตอนที่ซื้อ ดังนั้น หลังจากช่วงเวลาเทศกาลต่างๆเช่น Black Friday, Labor day, Christmas ที่ร้านค้าในอเมริกา ลดสะบั้นหั่นแหลก เราจะเห็นว่าตรงช่อง Customer Service

เริ่มหางานทำ-แบ่งเบาค่าใช้จ่าย ตลอดสองปีที่เรียนอยู่ ถึงแม้ว่าทางบ้านจะมีกำลังส่งค่าเล่าเรียนแต่ก็ต้องทำงาน เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระลงบ้างด้วยเหมือนกันค่ะ พอได้เข้าเรียนปริญญาโทแล้วก็หางานทำค่ะ เรื่องหางานทำต้องระวังหน่อยนะคะ เพราะแต่ละรัฐจะมีกฎหมายกำหนดค่ะว่า นักศึกษาต่างชาติสามารถทำงานอะไรได้บ้าง

เรื่องอุบัติเหตุนี้ ไม่เข้าใครออกใครเลยจริงๆค่ะ แม้เราไม่ได้ไปชนกับใครที่ไหน แต่ก็มีโอกาสรถบุบได้ แม้จอดอยู่เฉยๆในลานจอดรถ! ย้อนกลับไปเมื่อ 4 ปีที่แล้ว เราเอารถสีแดงคันเก่า(ซื้อมาในราคา 800 ดอล แต่ตอนนี้ถูกขายไปแล้วค่ะ) ขับไปรับเด็กที่ Day Care เพื่อส่งกลับบ้านเป็นปกติ เป็น job เล็กๆที่ทำอยู่ทุกสัปดาห์หลังเลิกงาน แต่แล้วก็มีเหตุเกิดขึ้น

เมื่อไม่นานมานี้ ได้ยินข่าวเกี่ยวกับแอร์โฮสเตสสาว ที่ได้ทำน้ำกระฉอกใส่ผู้โดยสารท่านหนึ่ง เนื่องจากเครื่องบินค่อนข้างโยกไหวจากคลื่นลมแรง  และถึงแม้ว่าเธอจะเอาผ้าเช็ดหน้าซับน้ำให้แล้ว แต่ผู้โดยสารก็ยังโกรธจัด ต้องการคุยกับหัวหน้าพนักงานบนเครื่อง ในที่สุด แอร์โฮสเตสสาวก็คุกเข่าและพนมมือไหว้ขอโทษผู้โดยสารชายคนดังกล่าว เขาจึงคลายความโกรธลงและไม่เอาเรื่องต่อ

วันนี้จะมาขอเล่าถึงเรื่องโรคภัยไข้เจ็บและการป้องกันเวลาที่เราอยู่อเมริกา ซักนิดนะคะ เนื่องจากว่าเรามาอเมริกาในช่วงปี 2009 ตอนนั้นเนี่ย ถ้าใครจำได้ โรคไข้หวัดหมู หรือ swine flu หรือ ไข้หวัดใหญ่สายพันธ์ใหม่ 2009 หรือ ไข้หวัดใหญ่เม็กซิโก หรือ H1N1 (โอย หลายชื่อเกิ๊น 55555)

ประสบการณ์จากผลส้ม ส้มที่อเมริกาก็มีขายอยู่หลายพันธุ์ค่ะ ที่เห็นส่วนใหญ่ก็ mandarin, tangerine, clementine, California Navel Oranges, Valencia ที่ที่เราอยู่ ฝั่งnortheast ของอเมริกา จะเห็นส้มที่นิยมอยู่สองขนาด คือขนาดเล็ก เปลือกบาง แกะกินได้เลยแบบส้มสายน้ำผึ้ง รสหวานซ่อนเปรี้ยว กับอีกแบบขนาดใหญ่กว่าลูกเทนนิสนิดหนึ่ง เปลือกหนา เวลาจะกินต้องใช้มีดหั่นเป็นแว่นๆแล้วกินค่ะ รสหวานฉ่ำอร่อย

อยู่อเมริกามาก็เดือนกว่าแล้ว ใบขับขี่ก็มีแล้ว รถก็ซื้อแล้ว เอาละ……ถึงเวลาขับรถเองคนเดียวซะที!!! หลังจากฝ่าฟันอุปสรรคในการทำใบขับขี่อย่างโชกโชน ก็ถึงเวลาทดสอบฝีมือการขับรถของเราซะหน่อย โฮะ โฮะ เรามีใบขับขี่ของไทยก่อนมาอเมริกาประมาณ 2 เดือน แสดงถึงความช่ำชองในการขับรถเป็นอย่างดี…..  – – เอาหน่ะ ขับรถที่อเมริกาใครๆก็บอกว่าง่ายแสนง่าย ไม่เหมือนขับรถในกรุงเทพซะหน่อยเนอะ คนที่นี่เค้าใจเย็น ขับช้าๆตาม speed

การขับรถในอเมริกา ถือเป็นเรื่องที่ทำให้คนไทยที่เพิ่งมาที่นี่ค่อนข้างสับสนอยู่พอสมควร อาจจะเรื่องของเลนส์ของถนน หรือพวงมาลัยคนขับที่ตรงข้ามกับไทย, กฎจราจร และ ป้ายจราจร เต็มไปหมด ไม่รู้ว่าเป็นโชคดีหรือโชคร้ายของเรา ที่ไม่เคยมีรถตอนที่อยู่เมืองไทย แต่ก่อนมาอเมริกา ก็ไปเข้าคอร์สเรียนขับรถพอเป็นพิธี ขับยังไม่คล่องเลยค่ะ  แต่ก็ผ่านการสอบใบขับขี่ และได้ใบขับขี่สากลมาเชยชมจนได้ เรามาอยู่รัฐเวอร์จิเนีย มันเป็นเรื่องจริงอย่างหลายๆคนที่นี่พูดค่ะ ว่าถ้าไม่มีรถ ก็เหมือนไม่มีขา เรามาอยู่ในแถบชานเมืองเสียอีก ซึ่งแน่นอนว่าจำเป็นต้องใช้รถในการเดินทาง แต่จะว่าไปรถบัสประจำทางที่นี่ก็มีนะค่ะ แต่มีคนใช้บริการน้อยมากๆ

คนเราอยู่ที่ไหน ๆ ก็ต้องมีเพื่อนถูกไม๊ค่ะ เพื่อนที่เราจะเล่าให้ฟังในวันนี้ทำให้เราประทับใจสุด ๆ ไปเลย นับถือกันเหมือน ญาติพี่น้อง กลับมาเมืองไทยแล้วก็ยังติดต่อกันตลอด ด้วยความบังเอิญว่ารัฐที่เราไปอยู่ (Nashville, TN) มีคนเอเชียอยู่เยอะมากกกกกก หลายเชื้อชาติเลยทีเดียว ทั้งเวียดนาม จีน เกาหลี และที่เราว่าเยอะที่สุด คือ คนลาวค่ะ