ประสบการณ์วัน นัดสัมภาษณ์วีซ่าอเมริกา
วันที่ 28-3-2013 วันนี้เป็นวัน นัดสัมภาษณ์วีซ่าอเมริกา เตรียมหลายอย่าง เผื่อเอกสารไปทุกอย่าง ขนไปเท่าที่จำได้ แม้แต่ใบสูติบัตรยังเผื่อไปเลย รูปต้องถ่ายถึงสองครั้ง เพราะครั้งแรกใช้ไม่ได้ เราควรหาร้านถ่ายรูปที่ได้มาตรฐานรู้กฏระเบียบของแต่ละประเทศจะดีกว่า ไม่ต้องเสียเวลาไปถ่ายใหม่
กรอกข้อมูลทำวีซ่า
โชคดีที่ลูกสาวอยู่อเมริกาเขาสมัครออนไลน์ให้ ได้เขากรอกข้อมูลให้ทั้งสามคนพ่อแม่และลูกชาย ก็เลยสบายมาก จองเวลา นัดสัมภาษณ์วีซ่าอเมริกา ได้วันที่ 28-3-2013 เวลา 8.30 ตอนเช้า เขาให้ไปก่อนครึ่งชั่วโมง
จริงๆแล้วก่อนหน้านี้ จองไปแล้วรอบหนึ่ง เป็นตอน 8.00 น. อยากจะได้เวลาสายกว่านี้หน่อยแต่ไม่มี ทีนี้ติดธุระอะไรบางอย่าง เลยต้องเปลี่ยนในอีกอาทิตย์ถัดมา (เขาอนุญาติให้เปลี่ยนได้ 3 ครั้ง)
ตอนเปลี่ยนแอบเสียวอยู่หน่อย เพราะเวลากดยกเลิก ต้องยกเลิก 3 คนพ่อแม่ลูกพร้อมกันทีเดียว แต่เวลาจองใหม่ ต้องจองทีละคน ก็คิดว่าถ้าเกิดจองไปแล้ว 2 คนแล้วเกิดวันนั้นเต็มขึ้นมาพอดีจะทำไงนี่ แต่โชคดีที่ไม่มีปัญหา แถมยังจองนัดได้สายขึ้นมาหน่อย คือ 8.30 น. แทนที่จะเป็น 8.00 น.
ข้อมูลเพิ่มเติมในการกรอกเอกสารทำวีซ่าอเมริกา
วันนัดสัมภาษณ์
นัดสัมภาษณ์ 8.30 เช้า. ต้องตื่นตั้งแต่ตีสี่กว่า เพราะกลัวรถติด กลัวเดี๋ยวจะไปไม่ทัน
แต่ก็หลับสบาย ตื่นขึ้นได้โดยปรกติ แต่สามีท่าทางจะตื่นเต้น บอกว่านอนไม่ค่อยหลับ 555สงสัยคิดว่าต้องไปเข้าห้องสอบมั้ง.
ล้อหมุนตอน 6.45 เดินทางก็มีรถติดบ้าง แต่ไปถึงที่หมาย ประมาณ 7.50 ถึงก่อนเวลา 10 นาที จอดรถฝั่งตรงข้ามสถานฑูต เป็นตึกสินธร ค่าจอดสุดโหดชั่วโมงละ 100 บาท เลยต้องซื้อของกินที่ S&P 200.- เพื่อจอดฟรี สองชั่วโมง ยังไงก็ต้องเสียตังค์ขั้นต่ำ 200.-บาท
เราไปยืนเข้าแถว ส่วนใหญ่ถามแล้วก็นัด 8 โมงครึ่งเหมือนกัน ลูกชายตามมาเข้าคิวทีหลัง สักพักก็มีคนถามว่า ใครมีคิวที่นัด 7 โมงถึง 8 โมงครึ่งบ้าง ให้เตรียมพาสปอร์ต และใบ DS160 ให้ดู เขาก็ตรวจที่แถว แล้วเอาบัตรให้
กรณีที่มาครอบครัวเดียวกัน นามสกุลเหมือนกัน เข้าไปตรวจพร้อมกันได้
ผ่านด่านแรก- ด่านความปลอดภัย
ยืนรอเข้าแถวอยู่หน้าประตู เขาก็จะเรียกเข้าไปทีละกลุ่ม เราเข้าพร้อมกันสามคนได้. เขาจะให้ฝากมือถือ และของมีคม หรือเป็นโลหะไว้ เราก็ฝากไว้ทั้งสามคน เครื่องมื่ออิเล็คโทรนิครวมทั้งหมดสามคน แปดเครื่อง เวอร์จริงๆ รู้สึกว่าเป็นทุกข์ก็ตอนนี้แหละ เขาให้ปิดมือถือด้วย เพราะเขาคงไม่อยากหนวกหูมั้ง เราลืมไฟฉายอันเล็กๆติดอยู่ในกระเป๋า เขาเห็นว่ามีแบตเตอรี่ ต้องเอาออก เฮ้อ..ละเอียดจริงๆ
ด่านที่สอง – เช็คเอกสาร
หลังจากฝากของ และตรวจตัวเสร็จ ก็เดินไปอีกตึก ตอนนี้จะมีพนักงานเช็คเอกสารเบื้องต้น ตรวจเอกสารที่จำเป็นต้องใช้ แยกเป็นชุดๆให้ ที่สำคัญต้องไม่ลืมใบเสร็จที่เราไปซื้อค่าธรรมเนียมวีซ่า คือใบสีขาวที่ได้จากไปรษณีย์แนบติดกับใบสีชมพูไปด้วย ใบนัด สำเนาทุกอย่าง พลาสปอร์ตตัวจริงด้วย
ด่านที่สาม – ตรวจเอกสาร
แล้วเขาก็ให้เราเข้าแถวต่อ เรารออยู่สักพักใหญ่ เห็นคนที่เข้าไปบางคนก็ไม่นาน บางคนก็ยืนรอนาน
และแล้วก็ถึงกลุ่มเราสามคน เขาถามละเอียดถึงการกรอกเอกสาร ชื่อเดิม นามสกุลเดิม ชื่อพ่อแม่ ซึ่งพ่อแม่ส่วนใหญ่จะใช้ชื่อจีน สำเนียงก็เพี้ยนบ้าง แต่ก็โอเค โชคดีมีใบเชิญจากมหาวิทยาลัยของลูกแนบมาด้วย ว่าเราจะไปงานร่วมรับปริญญา ก็รู้สึกว่าไม่ยากนัก
แต่เท่าที่รู้เราบอกตามความเป็นจริงทุกอย่างเขาก็ไม่ถามมาก ขั้นตอนนี้ยังไม่ใช่การขอวีซ่านะค่ะ แต่คิดว่าสำคัญเหมือนเขาจะสัมภาษณ์ขั้นแรกก่อน เพราะได้ยินเขาพูดกับคนข้างหน้าที่ไปตรวจว่าอย่าโกหกสิ แสดงว่าเขาจับโกหกได้ เขาให้บัตรคิวเราเพื่อเดินเข้าไปห้องด้านในอีกที
ด่านสุดท้าย (ด่านตัดสิน) – สัมภาษณ์กับเจ้าหน้าที่สถานฑูต
ตอนนี้เห็นคนที่สัมภาษณ์แล้ว ไม่ใช่คนไทย แต่เขาพูดไทยได้ เราต้องยืนรอต่อสักพักใหญ่ แล้วถึงเวลาที่เขาเรียกพวกเราพร้อมกันเข้าไปสัมภาษณ์ คนที่สัมภาษณ์เป็นผู้หญิงเอเซีย แต่ไม่ใช่คนไทยเพราะฟังจากสำเนียงแล้วก็รู้ว่าไม่ใช่
ดีหน่อยที่เขาพูดเป็นภาษาไทยกับเรา เขาก็ซักประวัติบ้างแต่ไม่มาก เราพยายามตอบตามตรง คิดในใจฉันแค่อยากไปเยี่ยมลูก ไปร่วมแสดงความยินดีพร้อมลูก จะไม่ผ่านก็ใจดำเกินไปหละ คือตอบทุกอย่างที่ถามตามความเป็นจริง เขายังถามว่าไปแล้วใครดูแลธุรกิจให้ เขายังถามว่ามีลูกน้องกี่คน สงสัยเขาคงมีข้อมูลแน่ๆ เราก็ตอบตามตรงว่าสองคน และบอกว่ามีญาติพี่น้องมาช่วยดูแลตอนเราไม่อยู่ เราจะไปแค่สองอาทิตย์เอง
เขายังขอดูเอกสารการเงินด้วย พอดีเรามีเงินหมุนเวียนการค้าสม่ำเสมอตลอด แต่เงินฝากฟิตไว้แทบไม่มี เพราะเงินใช้หมุนเวียนการค้ามากกว่า. คิดว่าเขาคงฉลาดที่จะดูออกว่าเรามีธุรกิจที่แน่นอนและทำมานานแล้ว คงไม่มีวันที่เราจะทิ้งธุรกิจเราไปแน่ เราเลยได้ผ่านทั้งสามคน แล้วเขาก็ให้เราไปซื้อซองเพื่อเขียนที่อยู่ส่งพลาสปอตกลับมาให้
ค่าใช้จ่าย, รวมระยะเวลาที่ใช้ในขั้นตอนการสัมภาษณ์
ค่าส่งไปรณีย์คนละ 75.-บาท รวมค่าธรรมเนียมวีซ่าคนละ 4,960 บาท รวมแล้วเบ็ดเสร็จ การทำวีซ่าครั้งนี้คนละ 5,035บาท
เราใช้เวลาทั้งหมดประมาณ สองชั่วโมง คิดว่าถ้ามีโอกาสน่าจะไปช่วงเช้าจะดีกว่า ไม่ร้อนมาก เราจะไม่หงุดหงิด คนสัมภาษณ์ก็อารมณ์ดีเพราะยังไม่เหนื่อย
พาสปอร์ตส่งถึงบ้าน
พลาสปอร์ตเขาส่งกลับมาเร็วมาก. ทำวันพฤหัส ได้รับเช้าวันเสาร์
เรากับสามีได้วีซ่าเข้าออกอเมริกาได้สิบปี แต่ลูกชายนี่สิ ได้แค่สองเดือนเท่านั้น ลองวิเคราะห์ดู ก็น่าจะเป็นเพราะเรากับสามีอายุมากแล้ว และยังมีกิจการที่เมืองไทย แถมยังพูดภาษาอังกฤษไม่คล่อง คงไม่ได้ไปอยู่อเมริกาถาวร
แต่ลูกชายเรานี่สิ ยังอายุไม่มาก พูดภาษาอังกฤษพอได้ (พูดกับเราเป็นภาษาไทย แต่กลับพูดกับลูกชายเป็นภาษาอังกฤษ) ลูกชายไม่ได้ทำงานกับบริษัทไหน เพราะทำงานช่วยกิจการที่บ้าน เขาคงคิดว่าจะมีโอกาสไปหาลู่ทางทำงานในประเทศเขาเป็นแน่แท้ ก็เลยลงเอยแค่ได้วีซ่าสองเดือนเอง
หวังว่าประสบการณ์ที่นำมาแชร์นี้ คงมีประโยชน์กับหลายๆคนนะคะ สำหรับใครที่กำลังยื่นเรื่องขอทำวีซ่ามาอเมริกา ก็ขอให้โชคดีทุกคนคะ
ผู้เขียน Key
I’m single and 26 years old woman. I have my mom living with me and two sisters live separately. I’ve been working for a worldwide hotel brand for 3 and half years in Pattaya. I currently get 21,500THB salary and I’ve been saving some in my account for 100,000THB approximately. So far I’ve been to Singapore and Italy. I’m now dating an American man for 6 months. I first met him in January and then he flew to visit me one time. Then he wants me to visit him in USA. He will also cover all expenses too. So form above information, should I apply for tourist or visitor visa? And how much chance that I’d get it? thank you so much.
Sujitra
คุณ Sujitra สามารถขอวีซ่าท่องเที่ยวได้ค่ะ แต่เปอร์เซนต์การได้วีซ่านี่ ไม่สามารถบอกได้นะค่ะ เจ้าหน้าที่จะพิจารณาจากหลายอย่าง
เรื่องหน้าที่การงาน การเงิน จุดประสงค์ในการเดินทาง และอื่นๆๆ คือต้องแสดงหลักฐานหรือตอบคำถามกับเจ้าหน้าที่ให้ได้ว่าเราไม่ได้ต้องการจะไปอยู่ฐาวรในอเมริกาค่ะ
ยังไงก็เตรียมการสมัคร และเอกสารให้พร้อมนะค่ะ เอาใจช่วยค่ะ