สัพเพเหระในอเมริกา

เด็กไทยที่เติบโตในอเมริกา

เด็กไทยที่เติบโตในอเมริกา มีพ่อแม่คนไทยหลายคนค่ะ ที่พยามยามส่งลูกมาเรียนที่อเมริกาตั้งแต่เด็ก เพื่อให้สามารถพูกภาษาอังกฤษได้คล่อง บางคนมาแล้วต้องทำงานหนักมากๆ เพื่อจ่ายค่าเทอมแสนแพง ส่งเสียให้เด็กได้เรียนในอเมริกา

พ่อแม่บางคนยอมห่างจากลูก โดยส่งมาให้อยู่กับญาติในอเมริกา แล้วตัวเองก็ทำงานส่งเงินไป ทั้งที่ถ้าอยู่เมืองไทยก็ถือว่ามีอันจะกิน แต่เมื่อลูกอยู่อเมริกา เลยต้องทำงานหนัก เงินจำนวนมากๆต้องเก็บไว้ให้ลูกเป็นค่าใช้จ่ายในอเมริกาค่ะ

นี้เป็นตัวอย่างที่เราเห็นได้บ่อยๆ ในพ่อแม่คนไทยที่ให้ลูก เติบโตที่อเมริกา ในหนังสือ Thailand Fever
ของคุณ คริส และ คุณ วิธิดา ได้ฝากข้อคิดเกี่ยวกับ เด็กไทยที่เติบโตในอเมริกา ไว้อย่างน่าคิดค่ะ

เด็กไทยที่เติบโตในอเมริกาพ่อแม่ไทย มักเสียสละทุกอย่างเพื่อลูก และมีความหวังที่จะพึ่งพาลูกได้ในยามชรา พ่อแม่ไทยบางคน อุตสาห์ขุดรากถอนโคน มาอยู่เมืองนอกก็เพื่อการศึกษาของลูก จริงอยู่ระบบการศึกษาของฝรั่ง มักจะมีวิธีการและอุปกรณ์สอนที่ทำให้เด็กสนุก และมีความคิดสร้างสรรค์กว่าในระบบโรงเรียนไทย

แต่อย่าลืมว่าค่านิยมต่างๆที่เป็นศีลธรรมพื้นฐานของคนไทย ที่แตกต่างกับค่านิยมแบบฝรั่ง จะค่อยๆจางหายไปโดยปริยาย

ทั้งในโรงเรียน สังคมภายนอก และเพื่อนๆฝรั่ง จะฝึกสอนให้ลูกเราไขว่หาอิสรภาพ โดยการดีดตัวออกจากเราตั้งแต่เยาว์วัย ส่วนไอ้ความคิดเกี่ยวกับความรู้จักสำนึกบุญคุณ ความอ่อนน้อม หรือความเกรงใจไว้หน้าผู้หลักผู้ใหญ่ ซึ่งส่งทอดต่อลึกกันมาในจิตสำนึกของคนไทยนั้น ในสังคมฝรั่งจะไม่มีการพูดถึงกันเลย

ดังนั้นเมื่อเด็กย่างเข้าวัยรุ่น จึงเป็นธรรมดาที่เด็กจะมีทัศนคติที่ลบหลู่ดูหมิ่นครูบาอาจารย์และพ่อแม่ ยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมก็อาจเถียงคอเป็นเอ็น หรืออาจถึงกับด่าทอพ่อแม่ซึ่งๆหน้าอย่างสาดเสียเทเสียก็ไม่ใช่เรื่องแปลก ความประพฤติเช่นนี้ ฝรั่งถือเสียว่าเป็นพัฒนาการธรรมชาติของเด็กที่กำลังโต ที่กำลังพุ่งตัวเข้าหาอิสรภาพอย่างที่เขาพึงควร

ถือว่าตราบใดที่ลูกไม่ติดยา ฆ่าคนติดคุก ก็ถือว่าไม่อาทรร้อนใจ

ขอให้เตือนตัวเองว่าลูกเราไม่ได้เติบโตในเมืองไทย ฉะนั้นอย่าหวังมากว่าลูกของเราจะปฏิบัติตัวต่อเราเหมือนลูกของเพื่อนๆในเมืองไทยปฏิบัติต่อพ่อแม่ แล้วก็อย่าหวังไปพึ่งลูกในยามชราแบบคนไทยนะ

คือฝรั่งเค้าจะบอกอย่างงี้ว่า ถ้าเผื่อลูกชอบเรา แกก็จะดูแลเราเอง ความกตัญญูอันเกือบจะเรียกได้ว่าเป็นสัญชาตญาณของคนไทยนั้น ลูกครึ่งส่วนมากจะไม่เข้าใจ กลับเห็นว่าเป็นความคิดที่พิเรน เข้าใจยาก ไม่ยุติธรรม หรือถึงกับเป็นพิษเป็นภัยต่อสุขภาพจิต!

สรุปแล้ว ถ้าเราเลี้ยงลูกที่เมืองฝรั่ง แม้ลูกจะหน้าตาเหมือนไทย อาจพูดภาษาไทยได้ และรู้จักพนมมือไหว้คุณตาคุณยาย แต่ความรู้สึกนึกคิดและการกระทำตัวของลูกเป็นฝรั่ง นี่เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะฉะนั้นคุณต้องเตรียมใจ และปรับความคาดหวังของคุณให้ได้”

เมื่อเราได้อ่านบทความนี้แล้วก็รู้สึกเหมือนคลับคล้ายคลับคลาว่าเคยเห็นจากประสบการณ์จริงอยู่เหมือนกัน คือเราได้ไปวัดอยู่เป็นประจำ ได้เห็นครอบครัวคนไทยครอบครัวหนึ่งที่นั่น มากับเด็กไทยที่รับไว้เป็นบุตรบุญธรรม คือพ่อแม่ที่แท้จริงของน้องเค้าก็ไม่ได้ยากจนอะไรนะคะ แต่อยากให้ลูกได้มาเรียน และได้ citizen ที่อเมริกา ค่ะ

ครอบครัวในอเมริกาที่รับมาเลี้ยงก็ชอบเข้าวัดเป็นประจำ พยายามให้เด็กมาวัด และยังจับบวชเณรด้วย คือตอนนั้นเด็กยังอายุไม่มาก ยังพอบังคับได้ แต่หลังๆพอเด็กโตขึ้นมาก ก็เห็นน้องไม่พูดภาษาไทย และไม่ค่อยเห็นมาวัดเลยค่ะ

อีกตัวอย่างหนึ่งค่ะ คือเราได้มีโอกาสเป็นอาสาสมัครดูแลคนแก่ ซึ่งเป็นคนฟิลิปปินส์ แกย้ายมาอยู่ที่อเมริกา ตอนตั้งแต่ยังหนุ่มแน่น พร้อมกับลูกๆอีก 4 คน อายุประมาณ 3-10 ขวบ ตอนนั้นทั้งตัวคุณตาเองและคุณยายก็ต่างทำงานหนักเพื่อความเป็นอยู่ของครอบครัว ในที่สุดก็ตั้งตัวได้ และสามารถส่งเสียลูกๆให้ได้เรียนจนจบ ในที่สุด ลูกๆก็ต่างคนต่างแยกย้ายกันออกจากบ้านกันไปเพื่อตั้งตัวตามสไตล์เด็กอเมริกัน

บ้านคุณตาคุณยายเรียกได้ว่าค่อนข้างใหญ่เลยทีเดียวค่ะ มีห้องนอนถึง 5 ห้อง บ่งบอกว่าเคยเป็นครอบครัวขนาดใหญ่มาก่อน ตอนนี้บ้านหลังใหญ่เหลือคนอยู่อาศัยกันแค่ 2 คน คุณตาแก่มากแล้ว อายุเกือบ 80 เป็นโรคอัลไซเมอร์ระยะเริ่มต้น เดินไม่ค่อยคล่องนัก ส่วนคุณยายก็อายุน้อยกว่าคุณตาไม่มากนัก ต้องคอยอยู่ดูแลคุณตาตัวคนเดียวค่ะ โชคดีที่ทั้งสองมีประกันสุขภาพ ,มีเงินหลังเกษียณ Social Security รวมทั้งมีเจ้าหน้าที่จากสังคมสงเคราะห์ มาคอยช่วยเหลือเป็นระยะ และจากการเข้ามาช่วยเหลือของสังคมสงเคราะห์นี่เอง ทำให้เราได้เข้ามาเป็นอาสาสมัครให้กับคุณตาท่านนี้

เราเป็นอาสาสมัครให้กับครอบครัวนี้มา 2 ปี โดยคอยหากิจกรรมสนุกๆให้คุณตาทำ เพื่อบริหารสมอง บางทีก็เล่นเกมส์ หรือบ้างก็พาไปเดินห้างค่ะ เราไปแค่อาทิตย์ละครั้ง ครั้งละ 2 ชั่วโมงเท่านั้น ถึงแม้คุณตา จะเป็นโรคอัลไซเมอร์ระยะเริ่มต้น แต่แกจำเราได้ดี  พูดคุยเป็นกันเอง พร้อมทั้งเล่าเรื่องราวสมัยวัยละอ่อนและเรื่องราวของลูกๆอย่างอารมณ์ดี และทุกๆอาทิตย์ แกจะรอคอยการมาของเราค่ะ 

ระยะเวลา 2 ปีที่ผ่านมา คุณตาเริ่มช่วยเหลือตัวเองได้น้อยลง ช่วงหลังๆนี้เดินไม่ค่อยไหวค่ะ บางสัปดาห์เราไปถึงแล้วพบว่า คุณตานั่งแอ้งแม้งอยู่กับพื้นอยู่เป็นเวลานาน รอคอยเราให้มาถึง ให้ช่วยพยุงแกขึ้นมาจากพื้น คือคุณยายตัวเล็กและแก่มากแล้ว พยุงคุณตาขึ้นไม่ไหวแล้วค่ะ

เราเข้ามาบ้านคุณตาสัปดาห์ละครั้งเท่านั้น ทุกครั้งที่เข้าไปก็มักเจอว่าคุณตามีรอยฟกช้ำดำเขียวอยู่บ่อยๆ เพราะแกหกล้ม คือแกอยากเข้าห้องน้ำตอนกลางคืน แต่ไม่อยากรบกวนปลุกคุณยายค่ะ เลยพยายามลุกขึ้นมาเอง แล้วก็ล้มเองอยู่บ่อยๆ

ในที่สุด คุณยายได้ตัดสินใจจ้างคนมาดูแลคุณตาตอนกลางคืน การจ้างคนที่นี่แพงมากนะคะ คืนหนึ่งตก 100 เหรียญ 1 เดือน 3000 เหรียญ (เกือบแสนต่อเดือน) เงินบำนาญที่ควรเอามาใช้อย่างมีความสุขยามชราก็เหลือเอาไว้ใช้อยู่นิดเดียว เพราะต้องเอามาจ่ายไปกับการจ้างคนเฝ้าคุณตาตอนกลางคืน แล้วตอนกลางวันคุณยายก็ยังต้องเหนื่อยเหมือนเดิม

ส่วนลูกๆของคุณตา 4 คนนั้น นานๆจะมาเยี่ยมคุณตาเสียที เพราะต่างคนต่างมีภาระ ต้องรับผิดชอบครอบครัวของตัวเอง แม้ลูกชาย ลูกสาวคนที่ไม่มีครอบครัวก็ถือว่าเขาเองต้องทำงาน มีชีวิตของตัวเอง ไม่สามารถอยู่ดูแลคุณตาได้สักคนเดียวค่ะ

แต่แล้ว เมื่อคุณตาเริ่มช่วยตัวเองได้น้อยลงเรื่อยๆ คุณยายไม่สามารถดูแลคุณตาได้ไหวอีกต่อไป ทางเลือกที่ดีที่สุดที่ลูกๆได้ตกลงกันแล้ว ก็คือ ส่งคุณตาเข้าบ้านพักคนชราค่ะ ได้ข่าวว่าที่ๆคุณตาไปอยู่นั้น เป็นบ้านที่เปลี่ยนไปเป็นสถานที่รับเลี้ยงคนแก่ มีคนแก่อยู่ที่นั่นแล้ว 2 คน รวมคุณตาเข้าไปอีกก็ 3

คุณตาเคยโกรธและเครียดมากนะคะ เมื่อคุณยายเปรยๆว่าจะพาแกเข้าบ้านพักคนชรา แกบอกว่าไม่อยากจะออกไปจากบ้านของแกเลย เราได้รู้มาว่า ตอนคุณยายและลูกๆของแกพาไปส่งที่บ้านพักนั้น คุณตายังไม่รู้ตัวด้วยช้ำว่าตัวเองกำลังจะไปที่ไหน ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าการเดินทางครั้งนั้น จะเป็นการเดินออกจากบ้านครั้งสุดท้าย คุณตาไม่รู้เลยว่าจะไม่ได้กลับไปอยู่ที่บ้านของตัวเองอีกแล้ว….

ตอนนี้เราไม่ได้ไปบ้านคุณตา 3 สัปดาห์แล้วค่ะ เพราะคุณตาไปอยู่ที่อื่นแล้ว ตั้งแต่วันนั้น เราก็ยังไม่ได้มีโอกาสได้ไปเยี่ยมคุณตาเลย แต่ก็คิดไว้แล้วว่าต้องไปแน่นอนค่ะ สถานที่อย่างนั้นจะมีอะไรสนุกๆให้คุณตาทำหรือเปล่า คุณตายังจะจำเราได้หรือปล่าวนะ???

คุณตามาอเมริกา ตอนที่ยังหนุ่ม แกคงยังติดกับความรู้สึกเกี่ยวกับเลี้ยงดูพ่อแม่สไตล์เอเชียอยู่ แต่ลูกๆแก 4 คนเติบโตที่นี่ ความคิดความอ่านทุกอย่างก็กลายเป็นคนอเมริกันไปเสียหมด ถ้าคุณตาเป็นคนอเมริกันคงรับเรื่องนี้ได้มากกว่านี้

แต่เราว่า ถ้าเราหลีกเลี่ยงไม่ได้ ต้องเลี้ยงดูลูกที่ต่างประเทศ เราควรมีเวลาให้กับลูกมากๆ เลี้ยงลูกให้ดีๆ ตั้งใจสร้างธรรมเนียมดีๆของไทยให้เค้า คงทำให้เด็กได้ทั้งสิ่งดีๆจากทั้งสองฝ่าย อย่างความนอบน้อม ความเคารพผู้ใหญ่ จากความเป็นไทย และทั้งมี ความคิดสร้างสรรค์ ความกล้าแสดงออก ความอิสระทางความคิดของความเป็นอเมริกัน แบบนี้คงจะดีไม่น้อยนะคะ

 


2 thoughts on “เด็กไทยที่เติบโตในอเมริกา

  • ตอนนี้กำลังคิดหนักค่ะว่าจะอยู่เมืองไทยหรืออเมริกาดี
    เราเคยตัดสินใจว่าจะกลับเมืองไทยค่ะ ตอนนี้ยังไปๆ มาๆ อเมริกากับเมืองไทยอยู่

    ความคิดเริ่มมาเปลี่ยนเมื่อได้พาลูกเข้า daycare ที่นี่ พอดีลูกเพิ่งได้เข้า daycare ที่เมืองไทยเมื่อไม่กี่เดือนมานี้ แล้วก็ต้องพามาอเมริกา 2-3 เดือนเลยพามาเข้า daycare ที่นี่ ได้เห็น daycare ทั้ง 2 ที่ก็รู้สึกว่าขนาดแค่ daycare ยังเทียบกันไม่ได้เลย (นี่ขนาดที่เมืองไทยเข้า daycare ที่มีชื่อเสียงมาก) แล้วการศึกษาชั้นที่สูงขึ้นไปจะขนาดไหนนี่ รู้สึกว่าลูกมีโอกาสเรียนรู้อะไรมากมายที่นี่ เค้าจะได้เปิดโอกาสให้กับสมองของตัวเอง ไม่ถูกตีกรอบ หรือต้องเข้าแต่โรงเรียนกวดวิชาที่เมืองไทย พอคิดอย่างนี้เลยเริ่มรู้สึกเสียดายโอกาสที่เค้าควรจะได้รับ ถ้ากลับเมืองไทย ระบบการศึกษาก็รู้ๆ กันอยู่ว่าอยู่ระดับท้ายๆ ของประเทศกลุ่มอาเซียนซะด้วยซ้ำ ไหนจะสังคมที่เราเห็นก็ยังกังวลว่าต่อไปลูกเราต้องอยู่ในสังคมแบบนี้จริงๆ หรือเนี่ย เลยทำให้ต้องกลับมาทบทวนใหม่ว่า เราอยากให้ลูกมีชีวิตแบบไหนกันแน่

    ยังไงบั้นปลายเราคงกลับเมืองไทย แต่นั่นคือหลังจากลูกโต เรียนหนังสือ ทำงานแล้ว ยังไงเพื่อนเราก็ยังติดต่อกันอยู่ ตรงนั้นคงไม่มีปัญหาอะไร และเราไม่ได้คิดว่าจะให้ลูกมาดูแลตอนแก่อยู่แล้วค่ะ ตอนนี้คิดถึงแต่ลูก อยากให้เค้าได้รับในสิ่งที่ดีที่สุดที่เค้าควรจะได้น่ะค่ะ แต่ยังไงก็คงต้องรอดูปัจจัยอื่นๆ ด้วยว่าจะเอื้อไหม แต่ถ้าไม่มีปัจจัยอะไร อยากให้เค้าได้โตที่นี่ เรารู้สึกว่าเด็กที่โตเมืองไทยส่วนใหญ่จะเป็นผู้ใหญ่ช้า พ่อแม่โอบอุ้มมากจนเป็นเหมือนเด็กๆ อยู่ตลอด ทำอะไรไม่เป็น เป็นลูกแหง่ที่ต้องพึ่งพ่อแม่จนโต เรื่องวัฒนธรรมเราเชื่อว่าเราสร้างที่บ้านได้ เราคงไม่ให้ลูกเราเป็นฝรั่งจ๋า ในบ้านเค้าก็ต้องรู้ว่าคนไทยเป็นอย่างไร

    สรุปคือคิดว่า character และโอกาสของลูกน่าจะดีกว่าหากได้โตที่ตปท. แต่เราก็ต้องไม่ลืมที่จะรักษาวัฒนธรรมที่ดีของคนไทยไว้ในบ้านด้วยค่ะ

    Reply
  • จากที่อยู่ที่นี่ 1 ปีเต็มกับลูกชาย เห็นครอบครัวคนไทยหลายครอบครัว บางครอบครัวก็เป็นเช่นนั้น อย่าไปโทษสังคมฝรั่งเลยค่ะมันอยู่ที่เลือดและสันดาร เห็นคนไทยที่นี่พ่อแม่เป็นยังไง ลูกก็เป็นอย่างนั้น แต่สังคมฝรั่งจริง ๆ ที่เราสัมผัสกับลูกเราที่ได้มาเรียนที่นี่ ลูกบอกเลยว่าทั้งครูทั้งเพื่อนดีมาก เรียนเมืองไทยตั้งหลายปี มาอยู่นี่ตอนอายุย่าง 15 ย้ายบ้าน 1 ครั้ง เลยต้องย้ายโรงเรียน โรงเรียนแรกครูก็ดีมาก มาโรงเรียนที่สองที่ต้องย้ายมาเป็นโรงเรียนประมาณเด็กนานาชาติ คือพูดภาษาอังกฤษไม่คล่องต้องมาอยู่โรงเรียนนี้ก่อน พอผ่านไป 1 ปี ก็จะได้ย้ายมาอยู่ไฮสครูแถวบ้าน ลูกบอกทั้งสามโรงเรียน ทั้งเพื่อนทั้งครูประทับใจมาก จากเด็ก ADHD อยู่เมืองไทยลูกเครียดมาก ครูไม่เอาใจใส่ ให้ลูกอยู่ห้องเด็กพิเศษเด็กทั้งห้องโดนครูตีอย่างรุนแรง ตบหน้าตบหัวตบหูบ้าง ลูกเพิ่งมาเล่าให้ฟังเจ็บใจเราถามว่าทำไมเพิ่งมาเล่าให้ฟังลูกบอกว่าก็โดนกันทั้งห้องคิดว่าเป็นเรื่องธรรมดา อยู่นี่คนละเรื่องเลย ครูเอาใจใส่ตลอดประสานกับผู้ปกครองทุกเรื่อง ครูประจำชั้นคนปัจจุบันลูกบอกครูดุก็จริง แต่รู้เลยว่าครูมีความตั้งใจมาก ลูกรักครูมาก สังคมเพื่อนที่นี่มีความเกรงใจ และให้เกียรติกัน สอนเด็กให้โตเป็นผู้นำกว่าตัว ลูกมาอยู่ 1 ปี ทั้งสภาพจิตใจ และร่างกาย เรื่องเรียน เพื่อน ทุกเรื่องดีแบบก้าวกระโดด ลูกยังคงโทรกลับบ้านหาคุณตาคุณยาย น้า ๆ น้อง ๆ เกือบทุกวัน ไอ้เรื่องเด็กดีไม่ดี อย่าไปโทษสังคมของฝรั่ง อยู่ที่ไหนจะเลวก็เลวได้ อยู่เมืองไทย แทบจะแก้ผ้าเต้นน่าเกียจกลางถนนวันสงกรานต์ ขายของแก้ผ้าขาย ประเทศเราประเทศเล็กๆ แต่น่าจะประมาณ 90% ของคนในประเทศลำบากมาก พวกรวยก็พวกนักธุรกิจ คนชั้นสูง ปิดหูปิดตาชาวบ้าน สอนให้มองประเทศอื่นด้านลบประเทศตัวเองน้ำเต็มแก้ว เจอเด็กที่นี่หากขอความช่วยเหลือหวังแค่นี้ ได้มาเกินร้อย คนที่นี่เขาสอนกันแบบนี้จริง ๆ สุภาพ ให้เกียรติ เป็นผู้นำ โตเกินตัว ใส่ใจสังคม เกรงใจ ไม่อยากได้ของใคร โทรศัพท์หายบนรถเมล์เจอกับตัวได้คืน ลูกกระเป๋าตังไว้ที่ร้านอาหาร กลับมากระเป๋าอยู่ที่เดิม เราไม่รู้รัฐอื่นเป็นอย่างไร อเมริกากว้างใหญ่มากกว่าประเทศไทยกี่เท่า แต่สิ่งที่เราสัมผัส บอกตามตรงอยากอยู่ที่นี่อยากตายที่นี่ อยากกลับไทยแค่ไปเที่ยวเยี่ยมครอบครัว แต่กำลังวางแผน ให้ครอบครัวมาอยู่ที่นี่ให้หมด สวรรค์บนดินนี่เอง รัฐบาลก็ดูแลดี ทำงานเสียภาษีเยอะก็จริง แต่เราเป็นแม่เดี่ยวเลี้ยงลูก ทำงานไม่ถึงปีได้ภาษีคืนมา $6000 กว่า ลูกก็บอกเหมือนกันไม่อยากกลับไทย เราบอกกับลูกว่าถ้าแม่เป็นอะไรไป อย่ากลับไปไทยเด็ดขาด ดีแค่อาหาร วัดไทย เรื่องสังคม การศึกษา อย่าได้ไปหวังอะไร อยู่นี่ดีที่สุด เรามาอยู่ 2 คน แม่ลูก เริ่มต้นชีวิตใหม่กันสองคน เหมือนยากแต่ผ่านตลอด แค่ 1 ปี ทุกอย่างลงตัว เราไม่รู้คนอื่นเป็นอย่างไร แต่เราภูมิใจลูกมาก ถ้าคนได้รู้จักลูกเราจะรู้ว่าเขาเป็นเด็กที่หัวใจเหมือนทองคำ นึกถึงบุญคุณผู้มีพระคุณทุกคน อยากช่วยเหลือคน อยากเป็นหมอรักษาคนจน ขออภัยเล่ายาว แต่ขอบอกได้เลยว่าที่ผู้เขียนเขียนเหมือนเป็นสูตรสำเร็จกับสิ่งที่เราเจออยู่ไม่ได้ตรงกันเลย สังคมที่นี่คนที่นี่เราคิดว่าเราโชคดีที่กลับตัวทัน เอาลูกมาอยู่ที่นี่ใช้ชีวิตที่นี่ คิดไม่ผิดเลยจริง ๆ

    Reply

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *