การเดินทางครั้งแรก สู่จุดหมายที่ Baltimore, Maryland
การเดินทางครั้งแรก สู่จุดหมายที่ Baltimore, Maryland- สำหรับเพื่อนๆที่รักการท่องเที่ยวแบบ Backpack วันนี้น้ำตาลได้โอกาสนำประสบการณ์ส่วนตัวของการเดินทางท่องเที่ยวด้วยตัวเองจากเมือง Ashburn รัฐ Virginia ไปยังจุดหมายปลายทางคือเมือง Baltimore รัฐ Maryland มาบอกเล่าการเดินทางแบบตัวคนเดียวให้เพื่อนๆได้ฟังกันค่ะ
ก่อนอื่นเลยต้องขอบอกว่าการเดินทางในครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากเราอาศัยอยู่ในอเมริกาได้เพียงสองสัปดาห์เท่านั้น ดังนั้นด้วยภาษาที่ยังอ่อนด้อยเอามากๆ และความรู้เรื่องเส้นทางที่ยังมีเพียงน้อยนิด น้ำตาลเลยคิดว่ามันไม่หมูเลยล่ะค่ะ ถึงจะมีคนแย้งว่าแค่ Ashburn ไป Baltimore ขับรถแค่ชั่วโมงครึ่งก็ถึง เพราะระยะทางห่างกันแค่ 70 ไมล์เท่านั้น
แต่ตอนนั้นน้ำตาลไม่มีรถใช้ค่ะ อะไรๆเลยดูยากไปหมด และน้ำตาลมีเวลาเที่ยวแค่สองวันคือวันเสาร์ที่ 17 มีนาคม และวันอาทิตย์ที่ 18 มีนาคม 2012 ค่ะ ซึ่งแพลนของเราก็มีแค่ “วันเสาร์ไปให้ถึง Baltimore พักบ้านเพื่อน 1 คืน และวันอาทิตย์กลับมาให้ถึง Ashburn ก่อนหกโมงเย็น” จะไปอย่างไร?ทางไหน?ด้วยอะไรก็ได้ทั้งนั้น ขอให้ไปถึงและกลับมาได้อย่างปลอดภัยก็พอ
ก่อนถึงวันเดินทางเมื่อมีเวลาว่างจากงานออแพร์ น้ำตาลก็ไปขออนุญาติและปรึกษากับโฮสก่อนค่ะ โฮสบอกว่ายังไม่มีรถจากที่บ้านเราไปถึง Baltimore ได้ ถ้าจะไปต้องเข้าไปต่อรถใน Washington DC เอา ซึ่งมีรถอะไรไปได้บ้างโฮสเองก็ไม่ทราบรายละเอียดมากนัก แต่ถ้าจากที่บ้านไป Washington DC ก็มีสองวิธีคือการไปด้วยรถไฟใต้ดินกับการไปด้วยรถบัสค่ะ
โฮสแนะนำให้ขึ้นรถบัสเพราะสถานีอยู่ใกล้บ้านมากกว่าและโฮสไปส่งเราที่ป้ายรถได้ น้ำตาลเลยตกลงว่าจะไปรถบัสค่ะเพราะไม่อยากรบกวนโฮสมากแม้ว่าการใช้รถบัสจะนานกว่าการใช้รถไฟใต้ดินมากแค่ไหนก็ตาม จากนั้นน้ำตาลก็เข้า Google map แล้วใช้วิธี Get direction ค่ะ พอได้เส้นทางออกมาก็เทียบดูว่าอันไหนเราอ่านแล้วเข้าใจมากที่สุด ใช้เวลาน้อยที่สุดในการเดินทาง ค่าโดยสารของรถแต่ละแบบราคาเท่าไหร่ พร้อมทั้งค้นหารายละเอียดอื่นๆให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ จดใส่กระดาษแล้วทำเป็นแผนหนึ่งแผนสองพร้อมแผนสำรองไว้ด้วยค่ะในกรณีฉุกเฉิน เมื่อเสร็จแล้วก็ได้เวลาแพ็คกระเป๋าค่ะ
ตอนนั้นเป็นช่วงกลางเดือนมีนาคมซึ่งอากาศที่โน่นยังหนาวอยู่มาก จำได้ว่าอุณหภูมิเฉลี่ยในตอนกลางวันอยู่ที่ 15 องศาเซลเซียส ตอนกลางคืนประมาณ 4 องศาเซียลเซียส ดังนั้นน้ำตาลจึงเตรียมเสื้อผ้าที่จะใส่ให้อุ่นมากที่สุดเท่าที่จะมากได้
ส่วนในกระเป๋าเป้ที่น้ำตาลแบกไปก็มี เสื้อยืด กางเกงนอนขาสั้น Underwear แปรงสีฟัน กระเป๋าสตางค์ บัตรเดบิตที่เพิ่งเปิดบัญชีกับธนาคารในอเมริกา โทรศัพท์มือถือที่สามารถเล่นอินเตอร์เน็ตได้พร้อมสายชาร์ต กระดาษที่เราจดแผนการท่องเที่ยวและเบอร์โทรศัพท์สำคัญๆ บัตรโทรศัพท์เผื่อมือถือเราใช้ไม่ได้ และอย่างสุดท้ายคือใบก๊อปปี้หน้าวีซ่าของตัวเอง โดยน้ำตาลได้ทิ้งพาสปอร์ตและวีซ่าตัวจริงไว้ที่บ้านเพราะกลัวหายค่ะ ซึ่งอันนี้ถ้าเรายังไม่มี ID Picture ขอแนะนำว่าไม่ควรทำนะคะ เพราะเราจะไม่มีอะไรเป็นหลักฐานยืนยันตัวตนของเราเองได้เลยหากมีปัญหาอะไรเกิดขึ้น แต่ตอนนั้นน้ำตาลเองก็ลืมคิดไปค่ะ
เวลาประมาณ 8.00 น. ของเช้าวันเสาร์ โฮสขับรถพาเราออกจากบ้านเพื่อไปส่งที่ป้ายรถบัสที่ Herndon-Monroe PK & Rd Bus Bay A แล้วเราก็ยืนรอสาย 5A เพื่อจะเข้า Washington DC ค่ะ รถบัสสาย 5A นี้จะรับส่งผู้โดยสารจาก สนามบิน Washington Dulles International Airport (IAD) โดยมีจุดจอดทั้งหมด 5 จุดซึ่งจุดสุดท้ายจะอยู่ที่สถานี L’Enfant Plaza ในตัวเมือง Washington DC และน้ำตาลก็จะไปลงที่สถานี L’Enfant Plaza นี่ล่ะค่ะ
พอได้ขึ้นรถปุ๊ปเราก็ถามคนขับก่อนเลยว่าเขาไปสถานีที่ว่านี่หรือเปล่า? แต่ตอนนั้นน้ำตาลอ่านชื่อสนานีปลายทางไม่เป็นค่ะเพราะน่าจะมาจากภาษาฝรั่งเศษเลยยื่นกระดาษที่เขียนชื่อสถานีให้คนขับรถดู พอเขาพยักหน้าให้ก็เลยถามต่อว่าต้องจ่ายเงินเท่าไหร่ แต่ก่อนหน้านี้ที่เราหาข้อมูลมาก็ทราบอยู่แล้วนะคะว่าต้องจ่าย $6 แต่ถามอีกเพื่อความชัวร์ค่ะ ซึ่งคนขับก็บอกเราว่า $6 นั่นแหละค่ะ เราเลยรีบควักแบงค์ $5 และ $1 ที่เตรียมมายัดเข้าตู้เก็บเงินที่ตั้งอยู่ข้างคนขับ พอจ่ายตังค์แล้วก็เดินไปหาที่นั่ง จากนั้นถึงได้เห็นว่ามีคนยืนต่อแถวข้างหลังเราเพื่อขึ้นรถเยอะเลยค่ะซึ่งเราไปทำให้เขาเสียเวลากันรึเปล่าก็ไม่รู้
การนั่งรถบัสนี่ก็สบายดีเหมือนกันนะคะถึงแม้จะถึงช้าหน่อยแต่เราก็ได้ชมวิวทิวทัศน์กินบรรยากาศไปได้เรื่อยๆชิลๆ ถึงแม้ว่าจะมีคนแย้งว่าไม่มีอะไรน่าดูสักนิดเพราะข้างทางมีแต่ป่ารกๆกับถนนกว้างๆ ส่วนบ้านเรือนที่ตั้งกระจายอยู่ก็ดูเหมือนๆกันไปหมด แต่เราเพิ่งเคยมาครั้งแรกนี่ค่ะ เลยชะโงกดูโน่นดูนี่ไปเรื่อยไม่มีเบื่อ ขึ้นรถมาได้ประมาณครึ่งชั่วโมงก็เข้าเขต Washington DC แล้วล่ะค่ะ
คราวนี้น้ำตาลดูจะตาโตกว่าเดิมหน่อยเพราะเราเริ่มมองเห็นตึกอาคารที่ดูสวยงามแปลกตา และอีกอันที่ทำให้น้ำตาลละสายตาไปไม่ได้เลยก็คือแท่งเสาหินโอเบลิสก์ขนาดใหญ่ที่เป็นสัญลักษณ์ของเมืองหลวงแห่งนี้ที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่ จอร์จ วอชิงตัน ประธานาธิบดีคนแรกของสหรัฐอเมริกานั่นเอง ซึ่งก็คือ The Washington Monument หรือคนที่นี่เขาเรียกกันสั้นๆว่า The Mall ค่ะ
หลังจากรถวิ่งผ่านเจ้าแท่งหินใหญ่มาได้ประมาณ 5 นาที ก็ถึงสถานีที่เราต้องลงจากรถแล้วนั่นก็คือสถานี L’Enfant Plaza อ่านว่า เลอ-ฟอง-พลาซ่า นะคะ ซึ่งจะมีโรงแรมและห้างสรรพสินค้าขนาดเล็กอยู่ด้านใน ส่วนใต้พื้นดินลงไปก็จะเป็นสถานีรถไฟใต้ดินหรือ Metro station ชื่อสถานี L’Enfant Plaza เช่นเดียวกันนี่แหละค่ะ รวมระยะเวลาการเดินทางตั้งแต่เราขึ้นรถจนมาถึงที่นี่ก็ประมาณ 45 นาทีค่ะ
คราวนี้ก็ได้เวลาเดินเที่ยวด้วยตัวเองคนเดียวแล้วล่ะค่ะ ซึ่งพอลงจากรถปุ๊ป อากาศหนาวภายนอกก็กรูกันออกมาต้อนรับเลยทีเดียว ตอนนั้นอากาศยังหนาวมากเหลือเกินค่ะลมก็แรงมากด้วย น้ำตาลเลยต้องดึงผ้าพันคอขึ้นมาคลุมหน้าให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ส่วนถุงมือที่เรามีนั้นก็ไม่ค่อยช่วยอะไรได้สักเท่าไหร่เลย นิ้วชาไปหมดค่ะตอนนั้น มีแค่แรงใจที่พอจะสู้กับความหนาวได้ก็เลยทนไหวพยายามเดินให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้หรือ ถ้าวิ่งได้ก็วิ่งค่ะเพราะอยากให้ร่างกายของเราอบอุ่นขึ้น
ส่วนสถานที่หลักๆทั้งหมดที่น้ำตาลได้เดินไปเห็นด้วยตาของตัวเองในวันนี้ก็ได้แก่ ทำเนียบขาวหรือ The White House, แท่งเสาโอเบลิสก์ หรือ The Washington Monument, ตึกบัญชาการสำนักงานใหญ่ของ FBI, อาคารรัฐสภา หรือ The Capitol of United States. ค่ะแต่ทุกที่ที่กล่าวมาน้ำตาลแต่เดินดูรอบๆบริเวณนะคะยังไม่ได้เข้าไปดูข้างในเพราะ The White House และ The Capitol นั้นเราต้องเสียเงินเข้าชมค่ะ อีกทั้งเวลาที่มีเหลือไม่มากเพราะน้ำตาลยังต้องเดินทางไปให้ถึงบ้านเพื่อนที่ Baltimore ก่อนเวลาหกโมงเย็นอีก
คราวนี้เลยต้องอ่านแผนสองที่เตรียมมาค่ะ คือต้องนั่งMetro หรือรถไฟใต้ดินสายสีเขียว ไปลงที่สถานี Greenbelt และต่อรถบัสสาย B30 ไปสนามบิน BWI จากนั้นยังต้องต่อรถ Light Rail หรือรถรางบ้านเขาเพื่อเข้าไปในตัวเมือง Baltimore อีกค่ะ แค่คิดน้ำตาลก้เหนื่อยแล้ว เพราะไม่รู้ว่ากี่โมงถึงจะถึงจุดหมายเพราะการเดินทางด้วยวิธีที่สองนี้ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 3 ชั่วโมงค่ะ อีกทั้งถ้าเราขึ้นรถบัสหรือรถรางไม่ทันก็จะต้องใช้เวลามากขึ้นกว่าเดิมอีก
น้ำตาลจึงตัดสินใจสอบถามจากคนที่เดินผ่านไปมาใน Union Station ว่าพอจะมีรถบัสหรือรถทัวร์จากที่นี่ไป Baltimore บ้างหรือเปล่า? ซึ่งส่วนใหญ่ก็ไม่มีใครทราบค่ะแต่มีคนหนึ่งที่บอกว่ามีอู่รถทัวร์จอดที่ชั้นสองของอาคารให้ลองไปถามดู
พอน้ำตาลขึ้นไปถึงก็มองหาตู้เจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์ค่ะ แต่ปรากฏว่าในนั้นไม่มีใครอยู่เลย นี่ก็บ่ายสามโมงกว่าแล้วน้ำตาลเลยตัดสินใจเดินไปถามคนขับรถทัวร์คันหนึ่งค่ะ ซึ่งคุณลุงก็ชี้ให้ไปที่กลุ่มรถทัวร์คันใหญ่ๆสีน้ำเงินที่มีตัวอักษรสีเหลืองใหญ่ๆเขียนแปะที่ข้างรถว่า Megabus ข้างๆรถบัสแต่ละคันก็มีคนยืนรอขึ้นเต็มเลยค่ะ ซึ่งรถเหล่านี้จะวิ่งเข้า New york หรือ Boston ค่ะ โดยผู้โดยสารส่วนใหญ่เขาได้ซื้อตั๋วล่วงหน้ากันไว้แล้วหรือผู้ที่ยังไม่มีตั๋วก็สามารถจ่ายเงินผ่านทางบัตรเครดิตได้เลย เพราะคนเก็บเงินเขาจะมีเครื่องรูดบัตรเล็กๆในมือค่ะ
เมื่อน้ำตาลเดินตรงเข้าไปสอบถามพนักงานผู้ชายคนเช็คตั๋วและเก็บตังค์คนนั้นว่ารถคันนี้ไป Baltimore หรือเปล่า เขาก็บอกว่าไปค่ะ แต่รถจะจอดที่ White Marsh Mall ซึ่งห่างจากตัวเมืองประมาณ 9 ไมล์ น้ำตาลก็ตกลงค่ะ เพราะแน่ใจว่ายังไงก็คงหารถจากที่นั่นเข้าเมืองได้
แต่ปัญหาก็คือรถคันนี้ที่นั่งเต็มแล้วค่ะ เราต้องรอรอบหน้าที่ไม่รู้ว่าอีกนานแค่ไหน น้ำตาลจึงถามคุณพี่เขาอย่างออดอ้อนว่าช่วยเราหน่อยได้ไหม เพราะเราเพิ่งมาถึงอเมริกาได้ไม่นาน คุณพี่ผู้ชายคนนั้นก็บอกว่ามีทางเดียวคือต้องรอผู้โดยสารตกรถค่ะ ซึ่งเราก็ได้แต่คิดในใจว่าค่ารถแพงขนาดนี้คงไม่มีคนกล้าตกรถหรอกมั้ง? แล้วพี่เขาก็ให้น้ำตาลมายืนรอข้างๆพี่เขานั่นแหละค่ะเพราะไปยืนเกะกะแถวลูกค้าเขาอยู่นานสองนาน จนกระทั้งลูกค้าของเฮียแกขึ้นรถไปหมดแล้ว เหลือแต่นังตาดำนี่คนเดียวแล้วพี่เขาก็เดินขึ้นรถไปเฉยเลย อ้าว อย่าทิ้งฉันไว้แบบนี้นะ!!
ในใจตอนนั้นก็แอบฟุ้งซ่านไปเรื่อย T..T แต่แล้วพี่ชายตัวดำแต่ใจไม่ยักกะดำก็เดินกลับมาที่เราและบอกว่า $16 จะไปไหม ถ้าไปก็จ่ายตังค์ เราเลยรีบยื่นบัตรให้ไปรูดเลยค่ะ จ่ายเท่าไหร่น้องก็ไปเพ่!! หลังจากที่ขึ้นมาบนรถและมองไปรอบๆแล้ว เฮ้ย!! นี่มันว่างที่เดียวเองนี่หว่า?? โชคดีจริงๆเลยเรา >.<
เมื่อได้นั่งรถ Megabus อย่างสบายใจแล้ว น้ำตาลก็โทรไปรายงานเพื่อนค่ะ ว่าเราถึงไหนแล้ว ทำอะไรอยู่และกำลังจะไปที่ไหน ซึ่งเพื่อนก็เป็นห่วงเราเลยบอกว่าให้เรายืนรออยู่ที่ White Marsh Mall นั่นแหละไม่ต้องไปไหน เดี๋ยวเขาจะขอให้เพื่อนอีกคนช่วยขับรถมารับเราจ้า ตอนนั้นน้ำตาลจำไม่ได้แล้วว่าใช้เวลาจาก Union Station มาถึง White Marsh Mall กี่ชั่วโมง
แต่ที่แน่ๆคือเร็วกว่าใช้แผนสองที่เตรียมไว้ก่อนหน้านี้แน่นอน ตอนนี้ก็ถึง Baltimore โดยสวัสดิภาพแล้ว คราวหน้าน้ำตาลจะมาเล่าเรื่องคืนแรกกับการเข้าผับใน Baltimore และบรรยากาศงานฉลอง St. Patrick’s Day ใน Baltimore เมื่อวันอาทิตย์ที่ 18 มีนาคม 2012 จ้า