ตะลอนทัวร์อเมริกา

เที่ยวอุทยานแห่งชาติ เยลโล่สโตน ตอนที่ 2 (Yellowstone National Park)

เมื่อตอนที่แล้ว จบกันไว้เรื่องร้านอาหารในเยลโล่สโตน ตอนที่ 2 นี้ก็จะมาขอต่อกันเรื่องอาหารการกินอีกสักหน่อยนะคะ แน่นอนว่า เยลโล่สโตนก็เป็นเมืองท่องเที่ยวทั่วไปที่ข้าวของแทบทุกอย่างมีราคาแพง โดยเฉพาะร้านอาหารและโรงแรมที่พัก เราพัก campground ก็เลยช่วยประหยัดไปได้มากเลย แต่เรื่องอาหารถ้าจะให้ไปซื้อกินเอาทุกมื้อ แวะจอดร้านอาหารทุกครั้งที่หิว เห็นจะไม่ไหว ด้วยความงก ก็พกของกินที่สามารถเก็บได้นานหน่อย เช่น ไก่ทอด ข้าวเหนียว(อันนี้แวะซื้อที่ร้านอาหารลาว) มาม่า ใช่ค่ะ มาม่า!! 

ในบางซุปเปอร์มาเก็ตใหญ่ ๆ จะมีมาม่ารสต้มยำกุ้งขายด้วยนะคะ เห็นแล้วปลาบปลื้มเป็นที่สุด ฮ่าๆๆ ผักแบบที่เค้า หั่นใส่ถุงไว้แล้ว ผลไม้ ไส้กรอก เราซื้อตุนไว้ก่อนเข้าพาร์คเลยค่ะ เพราะซุปเปอร์ใหญ่ในพาร์คไม่มี หาซื้อยาก และก็คนละราคากันด้วย แพงกว่านั้นเอง 

เราติดเตา ทำอาหารกินกันค่ะ ก็ย่างไส้กรอก ต้มมาม่า ปิ้งไข่ ต้มข้าวโอ๊ต เอาของที่ซื้อมาอุ่นกินหลายมื้อเลย สนุกมากๆ ได้บรรยากาศในการมาเที่ยวแบบผจญภัยแอ๊ดแวนเจอร์สุดๆ อาหารที่ทำกินเองก็รู้สึกว่ามันอร่อยน้ำตาเล็ด เพราะกว่าจะติดไฟได้แต่ ละมื้อ หิวจนไส้กิ่วทุกอย่างที่ทำมาจึงอร่อยสุด ๆ ฮ่าๆๆๆ ในพาร์คมีกฏมากมายค่ะ การติดเตาก็มีวิธีบอกอย่างชัดเจนว่าดับอย่างไร เก็บกวาดอย่างไร ก่อกองไฟได้ถึงเวลา เท่าไหร่ ต้องทำตามกฏค่ะ เพราะคนดูแลป่าที่นี้เขาเข้มงวดมาก

(credit ภาพหมีจาก www.usatoday.net 
สาเหตุที่เค้าเข้มงวดเรื่องการติดเตาปรุงอาหารมีหลายเหตุผลค่ะ แต่หลัก ๆ เลยคือ ป้องกันนักท่องเที่ยวถูกหมีทำร้าย และป้องกันไม่ให้หมีที่ออกมาหาอาหารตอนกลางคืน มากินของเหลือรอบเตาไฟ เยลโล่สโตนเป็นพาร์คที่มีประชากรหมีเยอะมากค่ะ จากคำบอกเล่าของผู้ดูแลเขตอนุรักษ์(Ranger) ประชากรหมีมีประมาณ 1300 ตัวทั่วพาร์ค แบ่งเป็นหมีดำ (Black Bear) และ กรีซซ์ลี่ย์ (Grizzly Bear) อย่างละครึ่ง กรีซซ์ลี่ย์จะมีขนาดใหญ่กว่า หมีดำมากค่ะ และขนจะเป็นสีน้ำตาลปุกปุย ฟังดูน่ารัก แต่หมีจริงๆมันก็ดุ ตามสัญชาติญาณ ของมัน 

กฏที่สำคัญเลยคือ ห้ามให้อาหารเด็ดขาด ถ้าหมีได้รับอาหารจากมนุษย์จะต้องล่าและฆ่าหมีตัวนั้นทิ้งค่ะ เพราะมันจะกลับมา ทำอีกและอาจเป็นอันตรายกับนักท่องเที่ยว อันนี้คนทำให้หมีเดือดร้อนแท้ ๆ ห้ามทิ้งของกินไว้บนโต๊ะปิ๊กนิค เพราะหมีจะโดนฆ่าทิ้ง เช่นกันถ้ามากินของเหลือจากคนค่ะ สาเหตุนี้ทำให้ประชากรหมีในพาร์คลดลงไปเยอะมากน่าสงสารพวกหมีๆ นะคะ แต่หมีก็เป็น สัตว์ Signatureของพาร์คเลยนะ ถ้าปีไหนที่คนได้ยินข่าวว่ามีแม่หมีออกลูกก็จะมีนักท่องเที่ยวมาเที่ยวชมกัน เยอะเลยค่ะ แต่ตอนเราไปก็เสียดายมากไม่ได้เห็นซักตัว เพราะเป็นหน้าร้อน ส่วนใหญ่หมีจะหลับ และออกมาตอนกลางคืนซึ่งเราหลับ ฮ่าๆๆๆ เลยอดเห็นหมีเลยอ่า

 

จริง ๆ แล้วเยลโล่สโตนมีความหลากหลายของสัตว์ป่านา ๆ ชนิดค่ะ แต่สัตว์อีกชนิดที่ทำให้เราและนักท่องเที่ยวตื่นเต้นได้ ตลอดทริปคือควายป่าไบสั่น(Bison) มันจะออกมาให้เห็นตลอดการเดินทางเลย ตัวมันจะใหญ่โตมาก ๆ ชอบอยู่รวมกันเป็นฝูงใหญ่ค่ะ บางฝูง มีจำนวนเป็นแสน ๆ ตัวเลย หน้าตื่นตาตื่นใจมาก เราพบเห็นมันได้ทุกที่ เลยค่ะ เป็นสัตว์ที่ดูเชื่องช้าใจดี แต่ผู้อนุรักษ์บอกว่า นักท่องเที่ยวถูกเจ้าควายไบสั่นทำรายมากกว่าถูกหมีทำร้ายสะอีกในปีหนึ่งๆ 

เพราะด้วยความที่นักท่องเที่ยวเห็นว่ามันช้านี้แหละค่ะ เค้าเลยคิดว่ามันไม่มีอะไรวิ่งทันหนีทัน แต่ที่ไหนได้ ถ้ามันโมโหและพุ่งตัวเอา เขาแหลมๆ มาแทงเราเข้าก็บ๊ายบาย เจอกันใหม่ ชาติหน้า ฮ่าๆๆๆมันสามารถพุงตัวได้เร็วถึง 30 กิโลเมตรต่อชั่วโมงเลยนะ ไม่กี่วินาทีก็ถึงตัวเราได้เลย ผู้อนุรักษ์จึงเตือนตลอดว่าระวังนะจ๊ะ เจ้าไบสั่นเนี่ยก็ดุเป็นเหมือนกัน แล้วขนาดตัวก็ใหญ่กว่ารถหนึ่งคันสะอีก น้ำหนักตัวก็มากด้วย แต่เราชอบดูมันเล็มหญ้า ในทุ่งกว้าง ๆ นะ เป็นภาพที่คลาสสิคมาก ๆ ทำให้รู้สึกว่า “ชั้นมาถึงแล้วเยลโล่สโตนที่รัก” 



พูดเรื่องสัตว์มาพอสมควร เราจะขอต่อด้วยเรื่องที่เที่ยวที่น่าสนใจอีกซักหน่อยค่ะ ในเยลโล่สโตนเค้าจะมีพิพิธภันฑ์ เกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของผู้ดูแล, อนุรักษ์ และผู้บุกเบิกอุทยานเอาไว้ให้เราศึกษากันด้วย ข้อมูลก็จะเป็นประวัติความเป็นมาว่า ใครเป็นคนค้นพบเขตอุทยานคนแรก ผู้ดูแลและบุกเบิกกลุ่มแรก อะไรประมาณนี้ซึ่งตัวเราขี้เกียจอ่าน ดูรูปเอาอย่างเดียวเลยจ้า ฮ่าๆๆ แต่ก็มีคุณลุงที่เค้าทำงานอยู่ที่นั้นมาอธิบายให้ฟังว่า กว่าจะได้มาเป็น Ranger เนี่ย ยากลำบากนะ ต้องเดินป่าตามทางที่เค้ากำหนดให้ ให้ครบ และมีบททดสอบอีกมากมายซึ่งเชื่อว่ายากกว่าการเป็นลูกเสือสำรองบ้านเรา ฮ่า ๆๆ ต้องอึดมาก ๆ คุณลุงบอก ไม่งั้นก็ไม่ผ่าน การทดสอบ และที่สำคัญจะมาเป็น Ranger ต้องมีใจรักและเสียสละ เพราะอาชีพนี้เป็นอาสาสมัคร และไม่ได้เงินค่ะ อาสาสมัคร (Volunteer) นั่นเอง 

สถานที่ที่เราไปแล้วนึกขำระหว่างเดินชมอยู่นั้น น่าจะเป็นพวกบ่อกำมะถันต่าง ๆ เพราะเราจะเห็นคนที่เดินสวนไปสวนมา ใช้เสื้อปิดจมูกตลอดเวลา เพราะเจ้าบ่อกำมะถันพวกนี้ มีกลิ่นที่ไม่น่าดมเอาสะเลย ถ้าใครไม่เคยได้กลิ่นก็ไม่น่าจะนึกออก แต่ขอบรร ยายว่า เหม็นเหมือนคนผายลมค่ะ ฮ่าๆๆ ใช่ค่ะ ตด นั้นแหละ คือกลิ่นแบบนั้นจริง ๆ แต่ถ้ามาถึงเยลโล่สโตนแล้วไม่ได้ดม กลิ่นตด เอ้ย!!! กลิ่นกำมะถันพวกนี้ก็ถือว่ามาไม่ถึงแน่นอน เพราะก็เป็นจุดที่นักท่องเที่ยวให้ความสนใจแวะมาชมกันอยู่ตลอดทั้งวัน แต่ขอบอกว่า ทิวทัศน์โดยรอบสวยงามมาก สีของแต่ละบ่อจะแตกต่างตามแร่ธาตุ หรือ จุลินทรีย์ และแบคทีเรียที่สามารถเติบโตได้ใน อุณหภูมิน้ำที่แตกต่างกันออกไปทำให้เกิดเป็นสีสันสวยงามแปลกตาแบบที่เราไม่เคยเห็นที่ไหนค่ะ

 

The Grand Canyon of The Yellowstone

ที่เยลโล่สโตนเค้าก็มีแกรนแคนย่อนนะเออ อยู่ไม่ไกลจากโลเว่อร์ฟอล(Lower Fall) สีสันของหินมีความสวยงามมาก ๆ เลยทีเดียว ใครที่ไม่ทราบว่าแกรนแคนย่อนเกิดจากอะไรก็จะขอเล่าเท่าที่เราพอทราบนะคะ แกรนแคนย่อนเกิดจากการเคลื่อนตัวของ เปลือกโลกและลาวาทำให้เกิดหินและหน้าผาที่มีสีสันและรูปร่างที่แปลกตาสวยงาม ของที่เยลโล่สโตนอาจจะไม่ใหญ่เท่าที่รัฐเท็กซัส แต่เราว่าก็ดูสวยงามยิ่งใหญ่มาก ๆ เลยทีเดียว ทำให้เรารู้สึกว่าตัวเล็กนิดเดียวเองเมื่อเทียบกับสิ่งที่เห็นตรงหน้า 

เสน่ห์ของอุทยานแห่งชาติเยลโล่สโตนมีมากมายเขียนเป็นตัวหนังสือให้รู้สึกเหมือนกับที่เรารู้สึก ณ เวลา นั้นคงจะยาก เพราะความสวยงามที่แม้แต่รูปภาพก็ไม่สามารถถ่ายทอดออกมาได้เหมือนอยู่ในสถานที่จริง ๆ การท่องเที่ยวในเยลโล่สโตนครั้งนี้ เราถือว่าเป็นความโชคดีที่ได้มีโอกาสไปสัมผัสด้วยตัวเอง ทำให้เราได้เห็นสิ่งที่ไม่คิดว่ายังมีความสวยงามขนาดนี้อยู่บนโลกของเรา ถ้าเพื่อน ๆ มีโอกาสลองไปเที่ยวดูนะคะ รับรองว่าสิ่งที่จะได้สัมผัสจะประทับอยู่ในใจไม่รู้ลืมเลยทีเดียว





Author : FellyS


Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *