8 บทเรียนชวนคิด เมื่อไปใช้ชีวิตในอเมริกา
บทเรียนในชีวิตจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เมื่อได้พบเจอประสบการณ์ ใหม่ๆที่เกิดขึ้นกับตัวเราเอง แล้วยิ่งเป็นยุคสมัยนี้แล้วการออกไปใช้ชีวิตมันทำได้ง่ายกว่าแต่ก่อนมาก เพราะข้อมูลข่าวสารและมุมมองใหม่ ๆ ที่หาได้อย่างง่ายดายในโลกออนไลน์ เป็นใบเบิกทางชั้นดีในการก้าวออกไปเรียนรู้บทเรียนบนโลกกว้าง
วันนี้ GoGo America ได้รวบรวมบทเรียนมาชวนคิดจากการใช้ชีวิตในอเมริกาทั้ง ทำงาน ท่องเที่ยว เดินทาง มาแลกเปลี่ยนเล่าสู่เพื่อนๆ ฟังกันค่ะ
1. ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน
ต้องบอกเลยว่าการมาใช้ชีวิตที่อเมริกาซึ่งเป็นเมืองทุนนิยม และคนเป็นตัวของตัวเองอยู่แบบพึ่งพาตัวเอง เราจะต้องใช้สกิลตนเป็นที่พึ่งแห่งตนค่อนข้างมากเลยค่ะ ต้องเรียนรู้การเอาตัวรอด การจัดวางแผนชีวิตของตัวเองให้ดี ทั้งเรื่องการเก็บเงิน การไปปาร์ตี้ ไปเที่ยว การซื้อของกินของใช้
เราจะต้องวางแผนตลอด มีสำรองตลอด ต้องคิดว่าจะหมุนเงินยังไง แล้วอีกอย่างการทำงานในอเมริกาส่วนใหญ่ก็มักจะเป็นแนวเสิร์ฟอาหาร ซึ่งการทำงานเป็นบริกรต้องบอกว่ามันไม่ได้ง่ายขนาดนั้นเลยจริงๆ เพราะงานจะค่อนข้างหนัก
อย่างร้านอาหารในอเมริกาเราทำงานเด็กเสิร์ฟ เราก็จะต้องทำทั้งรับออเดอร์ลูกค้า แล้วรับอาหารมาเสิร์ฟ ดูเหมือนจะง่ายๆ แต่วิ่งวุ่นไปเลยค่ะ ทั้งหนัก ทั้งงง เพราะเมนูอาหารก็ต่างจากที่เราเคยชิน แต่พอทำไปเรื่อยๆ ก็จะเริ่มชินและคล่องขึ้นเรื่อย ซึ่งก็ใช้เวลาเป็นเดือนๆ เลยค่ะ
แต่อย่างว่าการทำงานเก็บเงินในการใช้ชีวิตที่อเมริกาเป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะเงินจำเป็นมากๆ ยิ่งตอนจะเข้าโรงพยาบาล ยิ่งใช้เงินสูงมากกก เพราะค่ารักษาพยาบาลที่นี่ก็ค่อนข้างสูงคะ ทำให้ถ้าไม่จำเป็นจะไม่ไปโรงบาล พยายามรักษาสุขภาพให้ดีจะดีที่สุดค่ะ
ส่วนในเรื่องการเดินทาง จากจองตั๋ว การทำธุรกรรมต่างๆ ก็จะต้องจัดการด้วยตัวเองทั้งหมด ไม่ได้มีคนมาคอยช่วยเหมือนตอนอยู่ไทย เรียกได้ว่าบทเรียนสำคัญบทหนึ่งที่ได้เรียนรู้ในการมาต่างแดนแบบนี้ก็คือ “ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน” นั่นเองล่ะค่า
2. ความหลากหลายเป็นสิ่งสวยงาม
การมีโอกาสได้ไปใช้ชีวิตในสหรัฐอเมริกา ที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นประเทศที่มีความหลากหลาย ทางชาติพันธุ์มากๆ ชาติหนึ่ง มีทั้งชาวอเมริกันเชื้อสายเยอรมันชาวอเมริกันเชื้อสายไอร์แลนด์, ชาวอเมริกันเชื้อสายเม็กซิโก,ชาวอเมริกันเชื้อสายอังกฤษ ชาวอเมริกันผิวขาวผิวสี หรือแม้แต่ชาวอเมริกันเชื้อสายเอเชียอย่างชาวอเมริกันเชื้อสายจีน เชื้อสายฟิลิปปินส์ หรือเชื้อสายอินเดียก็ยังมี ละยังมีชาวต่างชาติที่เดินทางเข้ามามากมาย มีคนหลายแบบทั้งคนรวย คนจน ไปจนถึง Homeless
การได้พบเจอผู้คนหลากหลาย ทั้งเดินผ่าน สวนทาง หรือพูดคุย ไปจนเป็นเพื่อนกัน ทำให้เราเห็นความแตกต่างหลากหลายของมนุษย์และผู้คน ทำให้เรารู้ว่าบนโลกใบนี้ไม่ได้มีคนแค่แบบเดียว และความหลากหลายอันนี้ก็สอนให้เรารู้จักที่จะเคารพความเป็นคนของคนอื่นมากขึ้น เพราะเราได้เข้าใจว่าคนเรามีความแตกต่างหลากหลายกันเป็นธรรมดา ได้เข้าใจโลกมากขึ้นว่าไม่ได้สร้างให้ทุกคนออกมาเหมือนกันแต่มีความเป็นคนเท่ากัน
จากที่เราเองก็อยู่ในสังคมเอเชีย ก็มักจะได้ยินการพูดถึงฝรั่งทั้งด้านดี ด้านลบ หรือการพูดถึงคนผิวสีไปในทางไม่ดี พอเราได้มาสัมผัสและเรียนรู้ความแตกต่างก็ทำให้รู้เลยว่า ความแตกต่างนี่แหละที่ทำให้โลกสวยงาม และโลกยิ่งจะสวยงามมากขึ้นอีกถ้าความแตกต่างสามารถอยู่ร่วมกันได้
พอได้ไปใช้ชีวิตในอเมริกาแบบนี้ก็รู้สึกว่า เราไม่ควรตัดสินใครแค่เพราะสีผิวหน้าตาหรือต้นกำเนิดเลย
3. เห็นโลกกว้างขึ้น เห็นตัวเองเล็กลง
การได้ออกไปท่องโลกกว้างและได้มีโอกาสไปใช้ชีวิตที่อเมริกาทำให้รู้สึกว่า Ego ที่เคยมี และความหลงตัวเองหลายๆ อย่างว่า ฉันเก่ง ที่เคยมี ค่อยๆ ลดลงไปเยอะเลย ยิ่งได้เข้าไปทำงาน ไปเรียนคอร์สที่อเมริกา ยิ่งทำให้รู้สึกว่ามีคนเก่งๆ มากมายจากหลายๆ ประเทศนะที่มาเรียนและมีเป้าหมายชัดเจนมากๆ
เราจะเจอคนเยอะ เจอทัศนคติแบบต่างๆ มากขึ้น เจอคนที่พยายามมากๆ เจอคนที่ประสบการณ์เยอะ และเจอคนที่เก่งกว่าเราหลายๆ คนเลย พอได้เจอแบบนี้ Ego หรือความหยิ่งในตัวเองน้อยลงเลย
เหมือนพอเราเห็นโลกกว้างขึ้นเรื่อยๆ เราก็จะเห็นเองว่าเราตัวเล็กนิดเดียว ทำให้คิดบวก ไม่ดูถูกคนอื่น และขยันที่จะพัฒนาตัวเองไปเรื่อยๆ
4. สาธารณูปโภคพื้นฐานที่ดี สร้างชีวิตที่ดี
ถ้าได้ไปใช้ชีวิตอยู่อเมริกาแล้วได้อยู่เมืองที่ดีๆ การเดินทางสะดวก มีความเจริญ ผังเมืองออกแบบสอดรับกับการใช้ชีวิต เราจะรู้ทันทีว่าการมีสาธารณูปโภคพื้นฐานที่ดี เป็นเรื่องจำเป็นมากในการที่จะทำให้เรามีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ทั้งจิตใจและร่างกาย
คุณลองนึกภาพแบบกรุงเทพกว่าจะไปทำงานได้ต้องรอรถไฟฟ้านาน คนแน่น เส้นทางรถไฟฟ้าไม่ทั่วถึง อากาศร้อนๆ ผังเมืองแสนจะงง สิ่งเหล่านี้ทำลายสุขภาพจิตใจและร่างกายของเราไปโดยไม่รู้ตัว
แต่ที่เมืองที่เจริญแล้วแบบอเมริกาในเมืองที่ปัจจัยสำคัญหลายอย่างครอบคลุม ทำให้เราใช้ชีวิตได้ง่ายขึ้น มีเวลาคิดมากขึ้นในขณะเดินทาง ไม่ต้องรีบร้อน เบียดเสียดมากจนไม่อยากจะทำอะไรต่อในวันนั้นๆ แถมเรายังสามารถเดิน ปั่นจักรยาน ได้แบบสบายใจ ไม่ต้องกลัวจะมีน้ำเน่าสาดกระเด็นใส่หรือมีรถมาเฉี่ยวชน
พอได้เห็นแบบนี้ก็อยากให้ประเทศตัวเองพัฒนาด้านคมนาคมและผังเมืองอย่างจริงจังบ้าง คงจะทำให้บรรยากาศดีขึ้นไม่น้อย
5. เด็กควรได้เรียนรู้ด้วยตัวเอง
เมื่อได้ไปใช้ชีวิตที่อเมริกาหรือต่างประเทศจะรู้ได้เลยว่าคนที่นี่เค้าให้ความสำคัญกับเด็กมากๆ พ่อแม่ส่วนใหญ่จะสอนให้เด็กรู้จักรับผิดชอบตัวเอง อย่างถ้าเด็กวิ่งเล่นแล้วล้ม พ่อแม่จะปล่อยเลย ให้เด็กพยายามลุกขึ้นเองเลย
มันทำให้เราเห็นว่าเขาเปิดโอกาสให้เด็กได้เรียนรู้กระบวนการแก้ปัญหาด้วยตัวเอง เรียนรู้ที่จะลุกขึ้นมาด้วยตัวเอง ถือเป็นการสร้างภูมิคุ้มกันที่ดีในการใช้ชีวิตให้กับเด็กมากๆ
นอกจากนี้ พ่อแม่ของเด็กที่นี่ส่วนใหญ่แล้ว เวลาที่เดินทางไปไหนมาไหน ขึ้นรถไฟฟ้าต่างๆ เค้าจะมีกระเป๋าให้เป็นของลูกเลย 1 ใบ ให้ลูกรับผิดชอบดูแลสิ่งของในกระเป๋าตัวเองเอง แม้ว่าลูกจะยังเล็กในระดับประมาณๆ อนุบาลสองอนุบาลสามก็เถอะ พอเห็นแบบนี้แล้วก็รู้สึกว่า เค้าสอนลูกเค้าดีเนาะ สอนด้วยการกระทำ สอนให้รู้จักรับผิดชอบตัวเองตั้งแต่เด็กๆ
เลยคิดว่าการให้พื้นที่เด็กได้เรียนรู้เองสำคัญมากๆ ในการต่อยอดความคิดและประสบการณ์ของเค้าในการเติบโตอย่างมีคุณภาพ
6. ทุกคนงดงามในแบบของตัวเอง
อยู่ที่นี่เราอยากแต่งตัวยังไงก็ได้ เราจะมีความมั่นใจขึ้นมากๆ ในการแต่งตัวและในรูปร่าง หน้าตาของเราเอง แล้วเราก็จะเริ่มภูมิใจในตัวเอง เพราะที่นี่ส่วนใหญ่ไม่ได้มีใครมาสนใจเรื่องรูปร่างหน้าตา หรือการแต่งตัวของเรามากขนาดนั้น ไม่ได้มีใครมาว่าแนวๆที่ว่า อ้วนแล้วยังจะใส่ขา สั้น หรือดำแล้วยังจะใส่สีแดงอะไรแบบนี้เลย
ที่นี่ค่อนข้างจะเปิดกว้างมากเรื่องการแต่งตัวและ ลักษณะรูปร่างหน้าตา เพราะถือว่าทุกคนมีความสวยงามและงดงามในแบบของตัวเอง และตัวเราก็ควรที่จะภูมิใจกับรูปร่างของเราและมั่นใจที่จะแต่งตัวในแบบที่เราชอบและแฮปปี้
พอเรามั่นใจในตัวเอง มันก็ช่วยให้เรามั่นใจที่จะพูดคุยกับคนอื่นๆ คนที่แตกต่างหรือไม่คุ้นเคยมากขึ้น ทำให้ได้เพื่อนใหม่ๆ เพิ่มอีกมาก แล้วยังทำให้เรามั่นใจที่แสดงความเห็นของเราได้มากขึ้น ซึ่งมันดีมากๆ มันช่วยเสริมทักษะตรงนี้ได้ดีมากๆ
7. คิดถึงบ้านและเข้าใจตัวเองมากขึ้น
เวลาที่เราอยู่บ้านของเราเอง เราจะไม่ค่อยรู้สึกหรอกว่าบ้านมีความหมายว่าอะไร แต่พอเราเริ่มเดินทางออกไปไกลๆ และไปใช้ชีวิตในอีกดินแดนหนึ่ง เราจะเริ่มรู้สึกได้ถึงความคิดถึงบ้านที่ก่อตัวขึ้นมา แล้วความคิดถึงนั้นก็จะแฝงไปด้วยความหมายของบ้าน ทั้งอาหารไทยที่บ้าน การได้อยู่กับครอบครัว การไปเที่ยวกับเพื่อนๆ การมีบรรยากาศที่อบอุ่นแบบที่บ้านมีให้
ซึ่งการเดินทางออกมานั้นมันทำให้เราได้รู้ว่าบ้านคือสถานที่ที่เราผูกพันและอยู่ในใจเราเสมอ มีหลายอย่างที่เป็นข้อดีของบ้านที่เราลืมมองเห็นไปตอนที่อยู่กับมัน ซึ่งต้องขอบคุณการเดินทางที่ทำให้เข้าใจความหมายของจุดเริ่มต้นอย่างบ้านได้ดีขึ้นมากๆ
ได้เรียนรู้ว่าความคิดถึงเป็นยังไง ได้เห็นความสำคัญของคนที่เรารักที่อยู่ที่บ้าน และที่สำคัญที่สุดได้เรียนรู้ที่จะเข้าใจหัวใจของตัวเองในมิติต่างๆ จากการใช้ชีวิตและผ่านอะไรต่อมิอะไรไปด้วยตัวเอง ซึ่งนี่คงเป็นบทเรียนที่ล้ำค่าที่สุดบทเรียนหนึ่งเลยทีเดียว
8. สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือความกลัว
เราเคยชินกับการอยู่ในที่เดิมๆ เพราะรู้สึกสบายใจดี มีเพื่อนพี่น้อง และวิถีชีวิตที่เราคุ้นเคยอยู่แล้ว ฉันไม่จำเป็นต้องไปไหน! พอเราเริ่มเคยชินกับสถานะความเป็นอยู่ของเรามากๆ เข้าแบบนี้ เรื่องราวใหม่ๆ และแรงบันดาลใจจะก่อตัวยากขึ้นในชีวิตเรา
ดังนั้นการกล้าที่จะก้าวออกไปจากความเคยชินเดิมๆ หรือ Comfort Zone ของตัวเอง มันทำให้เรามีบรรยากาศใหม่ๆเกิดขึ้นในชีวิต มีพลังงานบางอย่างที่แตกต่างเกิดขึ้น ทำให้เรามีแรงบันดาลใจที่จะทำสิ่งใหม่ๆ
การได้ลองไปใช้ชีวิตในอเมริกา ชีวิตใหม่ที่ไม่เคยชิน แม้มันอาจดูน่ากลัวในตอนแรกเริ่ม แต่เมื่อปรับตัวและก้าวข้ามความกลัวไปได้ เราก็จะเริ่มรู้สึกมีความสุขและเห็นแง่มุมหลากหลายมากเลยค่ะ และสิ่งที่ได้เรียนรู้เลยก็คือว่า ถ้าวันนั้นเรากลัวที่จะก้าวออกมา เราจะไม่มีทางได้เข้าใจอะไรมากขึ้นเลย
ดังนั้นสิ่งที่น่ากลัวที่สุดก็คือความกลัวนั่นแหละค่ะ ความกล้าจึงจำเป็นที่จะช่วยให้เราได้ออกไปเห็นโลกใหม่ที่จะทำให้เราได้พัฒนาตัวเอง
สรุป
การเดินทางของแต่ละคนต่างกัน เพราะเส้นทางของแต่ละคนต่างกัน ดังนั้นบทเรียนของแต่ละคนจึงแตกต่างกัน เหมือนกับการออกไปใช้ชีวิตที่อเมริกาแต่ละคนก็จะได้เรียนรู้บทเรียนที่แตกต่าง แต่สิ่งที่ทุกคนจะได้เหมือนกันในการออกเดินทางไปท่องโลกนั้น ก็คือการได้แง่มุมใหม่ๆ ซึ่งแง่มุมเหล่านั้นจะทำให้เราเป็นคนที่เข้าใจอะไรต่างๆ ได้ดีขึ้น
ดังนั้นถ้าเพื่อนๆ มีโอกาสออกเดินทางไปใช้ชีวิตในต่างแดน GoGoAmerica ก็อยากให้คว้าโอกาสนั้นไว้ และถ้ารู้สึกไม่มีโอกาส ก็อยากให้ลองมองหาโอกาสนั้นให้ได้นะคะ เพราะบทเรียนในหนังสือที่ชื่อว่าโลกกำลังรอให้เราไปเปิดอ่านอยู่เสมอค่ะ