นอกจากรถเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับคนไทยหลายคนที่อยู่ในอเมริกาแล้ว ยังมีสิ่งหนึ่งที่เราต้องทำด้วยหลังจากซื้อรถ นั่นก็คือ ประกันรถ นั่นเอง หลายคนมักจะลำบากใจ และ ตัดสินใจไม่ถูก ไม่รู้ว่าเราควรจะเลือกบริษัท ประกันไหนดี ราคาประเมินเท่าไหร่ และต้องทำอย่างไร เพราะฉะนั้นวันนี้จึง อยากจะขอเสนอแนวคิดพร้อมทั้งเกร็ดเล็กๆ น้อยๆ ที่อยากจะฝากกันเอาไว้ เพื่อใช้ในการเลือกบริษัทประกันรถในอเมริกา
บริษัทประกันที่ใหญ่ๆ ในอเมริกา ครองตลาดอยู่ไม่กี่บริษัท แต่จะมีบริษัทเล็กๆ ย่อยๆ ในแต่ละท้องที่ การมีประกันกับบริษัทใหญ่ ก็อาจจะสบายใจได้ในระดับหนึ่ง ว่าถ้าเกิดปัญหาอะไรขึ้นมา ประกันรับผิดชอบแน่นอน แต่ในเรื่องของราคาไม่แน่นอน มีการแข่งขันกันสูง บางทีบริษัทประกันเล็กๆ บางทีอาจจะถูกกว่าบริษัทประกันใหญ่ก็มี
ประกันรถยอดฮิตในอเมริกาที่ทำกัน มีอยู่สองอย่างคือ full-coverage และ liability
1. full-coverage ก็เหมือนประกันชั้นหนึ่งในบ้านเรานี่แหละค่ะ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เราผิด หรือ ถูก ประกันก็จ่าย เรียกได้ว่า ประกันแบบนี้จ่ายแพงกว่าแต่คุ้มครองเราในทุกกรณีที่เกิดอุบัติเหตุ
2 liability ก็เหมือนกับประกันชั้นสาม ประกันบุคคลอื่น แต่ไม่ได้ประกันตัวเรา คือถ้าเราเป็นฝ่ายผิด เราต้องรับผิดชอบจ่ายค่าเสียหายให้กับคู่กรณีเอง แต่ถ้าเราเป็นฝ่ายถูกชน คู่กรณีของเราต้องเป็นคนรับผิดชอบค่ะ
ส่วนเรื่อง Deductable ซึ่งก็คือ “ค่าเสียหายส่วนแรก” หมายถึงเป็นค่าใช้จ่ายก้อนแรก ที่ผู้ประกันต้องรับผิดชอบค่ะ เช่น ในกรมธรรม์ลงไว้ว่า มีค่า deductible 300 ดอล ก็หมายความว่า ทุกครั้งที่คุณ ไปเคลมกับบริษัทประกัน คุณจะต้องเสีย 300 ดอล แรกก่อน แล้วส่วนที่เหลือ บริษัทประกันจะเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่าย กรมธรรม์บางอย่าง จำเป็นต้องตั้งค่า deductible ไว้ แต่บางกรมธรรม์ก็เป็น option ให้เลือก เพราะถ้าตั้งค่า deductible ไว้ มันจะเป็นส่วนลดค่าเบี้ยประกันแรกจ่ายค่ะ ซึ่งเหมาะสำหรับผู้ที่มั่นใจว่าตลอดปีนั้น ตัวเองจะไม่มีเคลม แต่ถ้ามีเคลมบ่อยๆ ก็ไม่ค่อยคุ้มนะคะ เพราะต้องเสียค่า deductible นี้ทุกครั้งที่ไปเคลม
ถึงแม้จะเลือกแบบใดแบบหนึ่งไปแล้ว ก็ต้องทำความเข้าใจในรายละเอียดให้ดีค่ะว่า ประกันที่เราจะเลือกครอบคลุมอะไรบ้าง มีกี่กรณีที่ประกันไม่ได้ครอบคลุม แล้วถ้าเราต้องการ จะคิดเบี้ยประกันเพิ่มเท่าไร
เบี้ยประกันจะต้องขึ้นอยู่กับปัจจัยแวดล้อมที่แตกต่างกันไป เช่น
1 ประเภทของรถ เป็นส่วนสำคัญที่จะทำให้เบี้ยประกันต่างกันด้วย ราคารถ, ยี่ห้อรถ,ปีที่ซื้อรถ,ขนาดเครื่องยนต์,สีของรถ,จำนวนประตู
ยกตัวอย่าง รถใหม่ ยี่ห้อแพง ค่าประกันจะสูงมาก หรือ รถที่ซ่อมยาก อะไหล่แพง สูงกว่ารถที่อะไหล่ถูก ระบบไม่ซับซ้อน แต่หากใครบังเอิญเกิดไปเลือกใช้รถที่ฮอตสุดฮิตเป็นที่ต้องการของหมู่ นักโจรกรรมรถ ค่าเบี้ยประกันก็อาจจะแพงกว่ารถประเภทเดียวกัน แต่คนละยี่ห้อกันก็ได้
2 ตัวผู้ขับรถ ซึ่งถือว่าเป็นปัจจัยสำคัญข้อหนึ่งในการพิจารณาของบริษัทประกัน ผู้ซื้อประกันมีอายุมากกว่า 25 ปี,มีประสบการณ์ในการขับรถในอเมริกามานาน ,มีครอบครัว,มีการศึกษาสูง, ไม่มีประวัติอุบัติเหตุใดๆมาก่อน หรือไม่เคยโดนใบสั่ง เหล่านี้จะทำให้ค่าเบี้ยประกันถูกลง ส่วนเพศหญิง จ่ายเบี้ยถูกกว่าเพศชาย เพราะบริษัทประกันศึกษามาอย่างดีแล้วว่า ชายขับรถอันตรายและมีอุบัติเหตุบ่อยกว่าหญิง
ส่วนเรื่องเลขไมล์ การใช้รถต่อปีก็มีผลด้วย ผู้ที่ใช้รถน้อย ไม่ค่อยได้ออกไปไหน จะประหยัดเงิน ค่าประกันรถได้มากค่ะ
บริษัทประกันที่ใหญ่ๆ ในอเมริกามีการแข่งขันกันสูง สังเกตุได้จากโฆษณาทีวีหรือวิทยุ แต่ครองตลาดอยู่ไม่กี่บริษัท แต่จะมีบริษัทเล็กๆ ย่อยๆ ในแต่ละท้องที่ด้วย ขึ้นอยู่แต่ละรัฐ ในอเมริกาคนส่วนใหญ่จะใช้ความได้เปรียบในการให้ข้อมูลข่าวสารต่างๆแบบออนไลน์ ดังนั้นเราไม่ต้องเหนื่อยออกไปเลือกหาบริษัทประกันภัยให้เหมื่อย ทุกอย่างสามารถหาได้ในออนไลน์ แถมดู Comment จากลูกค้าที่เคยใช้บริการ เพื่อใช้เป็นประโยชน์ในการตัดสินใจได้ด้วย
สำหรับใครที่กำลังต้องการ ซื้อประกันรถในอเมริกา ต้องทำการศึกษาข้อมูลให้ดีๆนะค่ะ เราขอแนะนำให้ลองเข้าไปทำแบบเสนอราคา (Quatation) แบบออนไลน์ดูก่อน ทุกขั้นตอนฟรีค่ะ ซึ่งเราสามารถเข้าไปกรอกข้อมูลรถ ข้อมูลของคนขับ และเมื่อกรอกข้อมูลครบถ้วนแล้ว เราก็สามารถเห็นราคาเปรียบเทียบของแต่ละบริษัทประกันภัยได้อย่างง่ายดาย
บริษัทประกันรถ (Car insurance) ที่ดังๆในอเมริกา มีหลายบริษัท ดังตัวอย่างข้างล่างนี้ค่ะ