ประสบการณ์สุดมันส์ในอเมริกา

ประสบการณ์ วันฮาโลวีน ในอเมริกา

ประสบการณ์ วันฮาโลวีน ในอเมริกาเมื่อก่อนน้ำตาลทราบแค่ว่า วันฮาโลวีน (Halloween) คือวันที่ใครๆต่างพากันแต่งตัวเลียนแบบผีเพื่อมาร่วมเฮฮาปาร์ตี้ด้วยกันในคืนวันที่ 31 ตุลาคมของทุกปี แต่เมื่อน้ำตาลได้มาใช้ชีวิตในอเมริกาก็ทำให้ได้ทราบว่า วันฮาโลวีน มีอะไรดีๆกว่าที่คิดไว้มากจึงอยากนำมาเล่าให้เพื่อนๆได้ฟังกันกันค่ะ


เริ่มตั้งแต่คืนวันที่ 30 ตุลาคม 2012 หรือก่อน วันฮาโลวีน ในปีนั้นเพียง 1 วัน ก็ได้มีใครไม่รู้มากดกริ่งรัวๆ ย้ำๆ ที่หน้าบ้านอยู่หลายครั้ง จนทำให้ทุกคนในบ้านต่างตกอกตกใจกันหมด (น้ำตาลพักอยู่กับโฮสพ่อ โฮสแม่และน้องๆอีก 3 คนค่ะ)  หลังจากเสียงกริ่งเงียบไปซักพักโฮสพ่อก็เปิดประตูออกไปเจอ ถุงกระดาษสีน้ำตาลใบใหญ่วางอยู่ตรงหน้าประตู

โฮสพ่อจึงนำมันมาวางไว้บนโต๊ะในห้อง Family room ที่สมาชิกทุกคนนั่งรายล้อมกันอยู่หน้าสลอน จากนั้นเขาจึงล้วงมือเข้าไปหยิบเจ้าแมงมุมสีดำตัวใหญ่โยนออกมา นาทีนั้นน้ำตาลกับน้องๆวิ่งกันกระเจิงเลยค่ะ แต่ที่ไหนได้มันกลับเป็นของปลอมที่ทำจากพลาสติกซะนี่!

เมื่อหายกลัวกันแล้วเราจึงกลับมานั่งกันที่เดิมแล้วจึงพบว่าของที่บรรจุอยู่ภายในนั้นเต็มไปด้วย สัตว์น่าเกลียดที่เป็นของปลอม เช่น จิ้งจก แมงมุม แมลงสาบ และงู นอกจากนี้ยังมีขนม ช๊อคโกแลต และลูกอมที่ทำเลียนแบบลูกกะตาของมนุษย์รวมอยู่ด้วย แต่อีกสิ่งที่น้ำตาลสนใจมากกว่านั้นก็คือกระดาษสีขาวใบใหญ่ที่โฮสพ่อยื่นมาให้น้ำตาลอ่านให้น้องๆฟังกัน

กระดาษใบนั้นมีโคลงกลอนสั้นๆเกี่ยวกับ วันฮาโลวีน มีคำอวยพรที่ปรารถนาให้ครอบครัวของเราพบแต่ความสุข และสนุกสุดเหวี่ยงในคืนวันฮาโลวีนแต่ที่สำคัญหากเราต้องการให้คำอวยพรนั้นเป็นจริงขึ้นมา บ้านของเราจะต้องทำถุงกระดาษเหมือนกับที่ได้รับมานี้ไปวางให้เพื่อนบ้านอีกอย่างน้อย 3 หลัง ไม่เช่นนั้นเราจะพบกกับความโชคร้ายแทน

หลังจากน้ำตาลอ่านจบเท่านั้นแหละโฮสพ่อก็พูดขึ้นว่า “ I have something to do” แล้วก็รีบจ้ำอ้าวเดินออกไป ส่วนโฮสแม่ก็บอกว่า  “I am going to grab something from grocery store.” แล้วเดินตามโฮสพ่อออกไปติดๆ น้ำตาลจึงมองไปยังน้องๆทั้งสามคนแล้วพูดว่า “Well, you guys have to help me make it.” แต่สาวน้อยคนโตวัย 7 ขวบกลับบอกว่าเธอมีการบ้านต้องทำประวัติวันฮาโลวีนส่งครูวันพรุ่งนี้ ถ้าน้ำตาลช่วยเธอทำเธอกับน้องจึงจะช่วยน้ำตาลทำเจ้าถุงกระดาษที่ว่านี่ คราวนี้นางพี่เลี้ยงเลยต้องปาดเหงื่ออีกรอบ

ซึ่งการได้ช่วยน้องทำการบ้านนี่เป็นประโยชน์กับตัวของน้ำตาลเองมากๆเชียวค่ะ เพราะทำให้เรารู้อะไรดีๆวันฮาโลวีนเกี่ยวกับ วันฮาโลวีน มากขึ้น โดยคำว่า Halloween นี้เพี้ยนมาจากคำว่า All Hallows Eve ที่มีความหมายว่าวันก่อนสมโพชนักบุญของชาวคริสต์เขาล่ะค่ะ โดยชาวคริสต์ทั้งหลายจะจัดงานรื่นเริงและมีพิธีกรรมทางศาสนาร่วมด้วย ส่วนในไอร์แลนด์ที่ถือว่าวันขึ้นปีใหม่คือวันที่ 1 กันยายนของทุกปี

ดังนั้นคืนวันที่ 31 ตุลาคมจึงเป็นคืนส่งท้ายปีเก่า แต่มันมีความพิเศษตรงที่ว่าในคืนนี้ชาวเคลต์ (Celt) ซึ่งเป็นชนพื้นเมืองในไอร์แลนด์ ต่างเชื่อกันว่ามิติคนตายและคนเป็นจะเชื่อมเข้าหากัน เหมือนกับว่าในคืนนี้พวกภูติผีจะสามารถออกมาเที่ยวเล่นให้มนุษย์อย่างเราๆสัมผัสกันได้นั่นแหละค่ะ

ในสมัยก่อนที่ผู้คนต่างหวาดกลัวเรื่องภูติผีปีศาจกันมากจึงพากันแต่งตัวเลียนแบบผีเพื่อป้องกันตนเองจากวิญญาณร้าย ซึ่งบางตำนานถึงขนาดเล่าว่ามีการจับคนที่คิดว่าถูกผีเข้าสิงมาเผาทั้งเป็นเพื่อข่มขู่ให้พวกผีทั้งหลายเกิดความหวาดกลัวและไม่มายุ่งเกี่ยวกับมนุษย์อีก แต่ภายหลังที่สังคมมนุษย์มีวิวัฒนาการมากขึ้นจึงได้เปลี่ยนการเผาคนทั้งเป็นมาเป็นการเผาหุ่นไล่กาหรือหุ่นผีที่สร้างขึ้นมาแทน

เมื่อชาวไอริชได้ย้ายถิ่นถานเข้ามาตั้งรกรากในอเมริกากันมากขึ้น ประเพณีต่างๆเกี่ยวกับวันฮาโลวีนจึงเป็นที่นิยมกันโดยทั่วไป กิจกรรมที่สำคัญในวันฮาโลวีนนี้ก็อย่างเช่น ประเพณี Trick or Treat  หรือการไปเดินเคาะตามประตูบ้านของคนอื่นเพื่อขอขนม ซึ่งเชื่อกันว่าหากผู้ขอขนม ขอขนมได้มากก็จะส่งผลให้วิญญาณของผู้ล่วงลับไปแล้วซึ่งเป็นญาติพี่น้องของผู้ขอขนมได้รับผลบุญมากตามไปด้วย

อีกกิจกรรมที่เป็นที่นิยมกันมากนั่นก็คือการแกะสลักฟักทองเพื่อทำเป็นโคม โดยจุดเทียนไขหรือใส่ดวงไฟไว้ภายใน เพื่อเป็นสัญลักษณ์ของการหยุดยั้งความชั่ว ซึ่งนอกจากจะฝึกให้เด็กๆได้มีจินตนาการความคิดริเริ่มสร้างสรรค์กันแล้ว ยังถือว่าเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่ช่วยเพิ่มสัมพันธภาพภายในครอบครัวที่ดียิ่งอีกด้วย

หลังจากเราเสร็จภารกิจการบ้านกับส่งห่อกระดาษลูกโช่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก่อนนอนคืนนั้นน้ำตาลกับน้องๆก็พากันเตรียมเครื่องแต่งกายที่พวกเราจะใช้สวมใส่ในคืนวันฮาโลวีนกันค่ะ ในเวลานั้นอเมริกาเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วงหรือ Fall แล้วทำให้อากาศในเวลากลางคืนค่อนข้างเย็นจัด แต่ก็ไม่ได้หนาวจนเกินไป พวกเราจึงต้องหาชุดที่มั่นใจได้ว่าจะสามารถสวมใส่ได้อย่างสบายเนื้อสบายตัวได้มากที่สุด และอีกสิ่งที่ขาดไม่ได้เลยนั่นก็คือ ตระกร้าสวยๆ กล่องเก๋ๆ หรือกระเป๋าเท่ห์ๆ ที่พวกเราต้องเอาไว้ใส่ขนมตอนไปเดินทำกิจกรรม Trick or Treat ในหมู่บ้าน

และแล้วช่วงเวลาตอนเย็นของวันพุธที่ 31 ตุลาตม 2012 ก็มาถึง จำได้ว่าในวันนั้นเด็กๆพากันกลับจากโรงเรียนด้วยอารมณ์แจ่มใสกันมากค่ะ หลังจากน้องๆทาน Snack หรือของว่างกันแล้ว ซึ่งปกติจะเป็นช่วงเวลาที่พวกเราต้องทำการบ้านแต่ในวันนี้เป็นวันพิเศษเด็กๆจึงไม่มีการบ้านจากโรงเรียน ดังนั้นเราจึงเอาเวลาดังกล่าวมานั่งแกะสลักฟักทองด้วยกัน

นอกจากนี้เรายังช่วยกันวาดรูประบายสีเพื่อใช้ตกแต่งพื้นที่หน้าบ้านของเราให้ดูเป็นที่น่าสะพรึงกันอีกด้วย ตัวอย่างเช่น ค้างคาว แมงมุม และสัตว์ประหลาดรูปร่างแปลกตาที่น้ำตาลและน้องๆช่วยกันจินตนาการขึ้นมา เมื่อทำได้พอสมควรแล้ว เราก็เอาออกไปวางประดับไว้ตามสนามหญ้าหน้าบ้าน บ้างก็ผูกไว้ตามกิ่งไม้ และตู้ไปรษณีย์ ซึ่งเพื่อนบ้านหลังอื่นๆก็ทำเหมือนกันค่ะ มีการประดับประดาตกแต่งบ้านด้วยไฟกระพริบ โครงกระดูก หรือหยากไย่แมงมุมปลอมโดยเฉพาะบ้านที่เป็นคริสต์ศาสนิกชน

เมื่อเสร็จจากงานตกแต่งแล้วเราจึงรีบตั้งโต๊ะทานข้าวเย็นเพื่อเอาแรงกันค่ะ รอให้ถึงเวลาที่ดวงอาทิตย์จะลับขอบฟ้าไปก่อนบรรดาผีๆตัวน้อยจะได้ออกไปวิ่งเล่นกันให้หนำใจ หลังจากอิ่มหนำสำราญกันดีแล้วน้ำตาลก็พาน้องๆไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดที่เราเตรียมกันไว้ตั้งแต่เมื่อวาน โดยตัวของน้ำตาลเองแต่งเป็นมินนี่เม้าส์ น้องคนโตแต่งเป็นเจ้าหญิงบัลเลริน่า น้องคนกลางแต่งเป็นกัปตันอเมริกา ส่วนเจ้าตัวเล็กโดนบังคับให้สวมชุดเจ้าเป็ดน้อยที่น่ารักมาก

มาถึงตรงนี้เพื่อนๆอาจจะงงกันว่าทำไมไม่เห็นมี “ผี” สักตัว อาจเป็นเพราะว่าชาวอเมริกันเขาไม่อยากปลูกฝังความกลัวให้กับเด็ก แต่ก็ยังต้องการสืบสานประเพณีดังกล่าวอยู่ งานวันฮาโลวีนที่น้ำตาลได้เห็นจึงออกมาเป็นรูปแบบนี้ ส่วนโฮสทั้งสองก็แต่งเป็นพ่อมดกับแม่มดค่ะคือใส่แค่ผ้าคลุมกับหมวกปีกกว้างเท่านั้นก็จบ

จากนั้นเราจึงแบ่งหน้าที่กันโดยน้ำตาลจะต้องเป็นคนไปเดิน Trick or Treat กับน้องคนโตและคนกลางวันฮาโลวีน โฮสแม่จะพาน้องเล็กไปเดินพบปะกับเพื่อนละแวกบ้าน ส่วนโฮสพ่อมีหน้าที่เฝ้าบ้านเพื่อรอเด็กๆมาเคาะประตูขอขนม จากการได้ทำกิจกรรมกับน้องๆในค่ำคืนนั้นได้อะไรหลายๆอย่างเชียวค่ะ ไม่ว่าจะเป็นความหนาว ความเหนื่อย ความอิ่ม(จากขนม) ความสนุกสนาน และที่สำคัญคือน้ำตาลได้เห็นความร่วมมือร่วมใจกันในการทำกิจกรรมของคนทั้งหมู่บ้าน

โดยเฉพาะหลายๆบ้านที่อุตส่าห์เนรมิตบ้านของตัวเองให้เป็นบ้านผีสิงขึ้นมาจริงๆ และใช้สมาชิกภายในครอบครัวไปยืนหลอกผู้เยี่ยมชมตามมุมต่างๆของบ้าน ซึ่งเด็กๆพากันชอบอกชอบใจขอเข้าไปชมให้หนำใจอีกหลายต่อหลายครั้งจนน้ำตาลชักเวียนหัว อีกเรื่องคือถ้าเราไปเจอบ้านหลังไหนที่ชอบแกล้ง เวลาเด็กๆถามไปว่า Trick or Treat เขาก็จะตอบว่า Trick เพื่อแสดงว่าเขาต้องการจะท้าทายและไม่กลัวเกรง ดังนั้นบรรดาผีๆที่ไปเคาะบ้านเพื่อขอขนมจึงต้องช่วยกันแลบลิ้นปลิ้นตาเพื่อทำให้คนบ้านนั้นรู้สึกกลัวจนต้องพูดคำว่า Treat แล้วยอมมอบขนมให้โน่นแหละค่ะ

แล้วเพื่อนๆคิดว่าจะง่ายนักหรือคะที่มินนี่เม้าส์ เจ้าหญิงบัลเลริน่า กับกัปตันอเมริกาจะสามารถทำให้คนในบ้านแต่ละหลังเกิดความกลัวได้???

ไว้พบกันใหม่คราวหน้ากับประสบการณ์หรรษาของสาวน้ำตาลเจ้าเก่ากันนะคะ ^___^

 

ภาพประกอบจาก:bloggedtopics.com ,www.bostonmagazine.com

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *