อีกมุมหนึ่งของคนไทยทำงานในอเมริกา
ตลาดงานในสหรัฐอเมริกาเป็นตลาดที่เปิดกว้าง ถึงแม้ว่าเศรษฐกิจในประเทศจะยังไม่ดีนัก แต่ก็มีตำแหน่งงานว่างในตลาดอยู่มากพอสมควรค่ะ ถ้าเรารู้ถึงความสามารถของตัวเอง ตลาดก็จะยิ่งเปิดมากขึ้น เพราะงานในประเทศนี้ไม่จำกัดอยู่แค่การเป็นลูกจ้างเท่านั้น
อันที่จริงธุรกิจส่วนใหญ่ในประเทศอเมริกาเป็นธุรกิจรายย่อย ประชาชนสามารถที่จะสร้างงาน สร้างรายได้เป็นล่ำเป็นสันให้กับตัวเอง นอกจากนี้ธุรกิจเหล่านี้ก็เป็นฐานการจ้างงานในประเทศอีกด้วยค่ะ
แต่ประสบการณ์ทำงานจากในที่อื่นๆก็จำเป็นอยู่ไม่น้อยนะคะ ทำให้เราได้เรียนรู้ลักษณะการทำงานในแง่ต่างๆ ซึ่งจะเป็นผลดีหากภายหลังเรามีธุรกิจเป็นของตัวเองค่ะ เราเอง ทำงานในอเมริกา มาหลายสิบปี คราวนี้ขอแชร์ประสบการณ์เกี่ยวกับการทำงานกับหน่วยงานต่างๆในอเมริกาค่ะ
เริ่มต้น- งานในมหาวิทยาลัย
ประสบการณ์การทำงานในประเทศนี้ก็เริ่มจากการทำงานในมหาวิทยาลัยค่ะ ในมหาวิทยาลัยจะมีงานหลายอย่างหลายประเภทให้นักศึกษาได้หารายได้ในระหว่างเรียน มีทั้งงานในห้องสมุด ในโรงอาหาร รวมถึงในสำนักงานต่างๆภายในมหาวิทยาลัย
โดยส่วนตัวได้มีโอกาสทำงานในสำนักงานของคณะ งานนี้ก็เหมือนกับงานออฟฟิศในบ้านเราค่ะ คือเตรียมเอกสารหรือจดหมาย ถ่ายเอกสาร และช่วยงานอื่นๆ คุณสมบัติที่จำเป็นก็ธรรมดาคือ มีความรู้ทางคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์สำนักงานต่างๆ นอกจากนี้ก็ต้องรับโทรศัพท์และตอบคำถาม เพราะฉะนั้นคุณสมบัติที่ไม่ต้องพูดถึงก็คือความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษ
ในช่วงภาคเรียนปกติก็จะทำงานอาทิตย์ละ 20 ชั่วโมง แบ่งเป็นกะเช้าและบ่าย สลับกับเพื่อนนักศึกษาคนอื่น แต่ถ้าเป็นภาคเรียนฤดูร้อนจะทำได้ 40 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ค่ะ แต่ต้องติดต่ออาจารย์ที่ปรึกษาไว้เนิ่นๆนะคะ เพราะจำนวนนักศึกษาที่จะได้ทำเต็มวันก็น้อยลง
ในระหว่างงานถ้ามีช่วงว่าง เราจะทำการบ้านหรืออ่านหนังสือได้ไม่มีปัญหา แต่จะให้เพื่อนๆมานั่งเล่นนั่งคุยด้วยไม่ได้ จะใช้โทรศัพท์คุยเล่นนานๆก็ไม่ได้ด้วยค่ะ แต่อันที่จริงก็ไม่มีเวลาว่างมากนัก เพราะจะมีนักศึกษาเข้ามาถามมาขอข้อมูลต่างๆตลอดเวลา
หลังจากทำงานเป็นผู้ช่วยในสำนักงานได้สักพักใหญ่ Director ของคณะก็มาถามว่าสนใจจะเป็นผู้ช่วยทำวิจัย (Research Assistant) ไหม งานนี้จะแตกต่างจากงานสำนักงานมากค่ะ เพราะมีหน้าที่หาข้อมูลสำหรับงานเขียนของ Director เท่านั้น แต่จะได้เงินค่าจ้างสูงกว่าค่ะ
สำหรับงานนี้ปรกติ Director จะเรียกเข้าไปจ่ายงาน โดยให้หัวข้อของการวิจัยและเวลาที่ต้องการเขียนงานเสร็จ หลังจากนั้นก็เริ่มหาข้อมูล เพราะฉะนั้นเวลาทำงานเราจะต้องรู้จักว่าฐานข้อมูลอยู่ที่ไหน จะมาจากหนังสือหรือทางอินเตอร์เน็ต
นอกจากนี้ต้องรู้จักประมาณเวลาด้วยค่ะ เพราะ Director จะไม่บอกว่าต้องการข้อมูลเมื่อไร เราต้องกะประมาณเวลาสำหรับ Director ได้วิเคราะห์ข้อมูลที่เราหามาก่อนที่จะนำไปเขียนบทวิจัย งานนี้เป็นงานที่อยากจะแนะนำให้คนที่จะมาเรียนที่นี่นะคะ เพราะเป็นการฝึกทักษะการหาข้อมูล เพื่อทำรายงานส่งอาจารย์ในแต่ละวิชาค่ะ
สำหรับค่าจ้างและสวัสดิการของนักศึกษาในมหาวิยาลัยแต่ไม่ใช่การฝึกงานนั้น จะเป็นการทำงานแบบลูกจ้างชั่วคราวรายชั่วไมงที่ไม่มีสวัสดิการอื่นค่ะ ค่าจ้างรายชั่วโมงอาจจะแตกต่างกันไปตามตำแหน่งงานค่ะ และจะไม่มีสวัสดิการอื่น เช่น ประกันสุขภาพ วันหยุด หรือล่วงเวลาค่ะ ถ้าป่วยหรือมาทำงานไม่ได้ก็ไม่ได้รับค่าจ้างเท่านั้น
จบงาน- งานในกองทัพอเมริกา
หลังจากเรียนจบและมีครอบครัวแล้วก็ได้มีโอกาสเดินทางไปอยู่ที่ประเทศเยอรมันนีค่ะ ตอนนั้นทำงานเป็น Business Manager ควบคุมภาคพื้นยุโรปของสถาบันศึกษาอเมริกันแห่งหนึ่งค่ะ งานนี้ต้องรับผิดชอบมากค่ะ จะต้องเข้าประชุมและวางแผนงานหรือแก้ปัญหาต่างๆตลอดเวลา เพราะฉะนั้นจะต้องกล้าที่จะออกความคิดเห็น และพร้อมที่จะแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้
หลังจากย้ายกลับมาอยู่ในสหรัฐฯอีกครั้ง ก็ได้มาทำงานเป็นข้าราชการพลเรือนในกองทัพค่ะ ในกองทัพจะมีพลเรือนทำงานอยู่เป็นจำนวนมากค่ะ งานนี้มีเนื้องานที่แตกต่างจากที่ทำในเยอรมันนี แต่ลักษณะการทำงานเหมือนกันคือมีการประชุมปรึกษาหารือกันตลอดเวลา เพราะฉะนั้นจะเห็นได้ชัดว่า การทำงานในประเทศนี้ให้ความสำคัญมากกับการติดต่อสื่อสาร และการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างบุคลากรทั้งในระดับเดียวกันและต่างระดับค่ะ
นอกจากนี้ยังมีนโยบายยืดหยุ่นตารางการทำงานที่เรียกว่า Flexible Hours ค่ะ นโยบายนี้อนุญาตให้พนักงานเลือกจัดตารางเวลาการทำงานได้ บางคนที่ทำงานในตำแหน่งเดียวกันอาจเริ่มหรือเลิกงานเวลาต่างกันได้ แต่จำนวนชั่วโมงของการทำงานในแต่ละวันจะเท่ากันค่ะ นโยบายนี้ดีมากๆค่ะ เพราะจะช่วยเหลือพนักงานที่มีครอบครัวแล้ว หรือพนักงานที่ต้องการเวลาไปเรียนเพิ่มเติม
ค่าจ้างในกองทัพอเมริกานั้น ก็จะแตกต่างกันไปตามตำแหน่ง วุฒิการศึกษา และประสบการณ์ สวัสดิการก็ขึ้นอยู่กับนโยบายของบริษัทค่ะ แต่ถ้าเป็นข้าราชการพลเรือนของกระทรวงกลาโหม จะมีสวัสดิการดีหน่อยค่ะ เพราะองค์กรแบบนี้จะให้จำนวนวันหยุดประจำปีมากกว่าบริษัทเอกชนมาก
ส่วนค่าจ้างและสวัสดิการในการทำงานในบริษัททั่วไป จะขึ้นอยู่กับว่าเราทำงานแบบพนักงานประจำ (Full-time) หรือลูกจ้างชั่วคราว (Part-time) ถ้าจะให้ดูง่ายที่สุดก็จำนวนชั่วโมงต่อสัปดาห์ค่ะ คือ ถ้าทำงาน 40 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ก็จะเป็นงานประจำซึ่งนายจ้างมีหน้าที่จัดสวัสดิการให้ตามกฎหมาย จะมากหรือน้อยดีหรือไม่ดี ขึ้นอยู่กับนายจ้าง ส่วน งาน Part-time อาจได้เงินรายชั่วโมงดีกว่า แต่โดยมากจะไม่มีสวัสดิการใดๆให้ค่ะ
จุดแตกต่าง- การทำงานที่ไทยและอเมริกา
จุดที่แตกต่างระหว่างการทำงานที่นี่กับการทำงานในเมืองไทยที่เห็นได้ชัดอีกอย่างก็คือ การแสดงความคิดเห็นของผู้ใต้บังคับบัญชาและการยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้บังคับบัญชาค่ะ
ในการประชุมหารือทุกคนกล้าที่จะออกความคิดเห็น ถึงแม้ว่าความคิดเห็นจะไม่ตรงกับของหัวหน้า แต่พวกเขาก็ยังแสดงความเห็นพร้อมกับเหตุผลสนับสนุนค่ะ บ่อยครั้งที่ผู้บังคับบัญชาต้องขอบคุณ เพราะคิดไม่ถึงหรือไม่เคยรู้ข้อมูลมาก่อน
สำหรับคนที่อยากจะ ทำงานในอเมริกา คงจะเห็นได้ชัดว่าจะต้องกล้าที่จะแสดงออก และต้องแสดงออกอย่างมีเหตุมีผลค่ะ พนักงานทุกระดับมีสิทธิ์ที่จะออกความคิดเห็น เพราะในที่ทำงานทุกแห่งที่เคยทำมา มีนโยบายรับฟังความคิดเห็นที่เรียกว่า “Open Door Policy” ค่ะ หัวหน้าและผู้บังคับบัญชามีหน้าที่ตัดสินใจ โดยข้อมูลที่จะนำมาตัดสินในนั้น ก็จะมาจากลูกน้องและผู้อยู่ใต้บังคับบัญชานั่นเองค่ะ
บทความที่เกี่ยวข้อง
งานรับเลี้ยงเด็ก (Nanny /Babysitter)
งานแม่ครัว พ่อครัวในอเมริกา (Thai Cook)
หาเรื่องคุย ก่อนลุย ทำงานร้านอาหารในอเมริกา
พนักงานเสริฟในอเมริกา (Thai Server)
GoGoAmerica.com เว็บรวมหลากหลายเรื่องราวน่ารู้ใน อเมริกา ทั้ง วัฒนธรรม อาหาร ชีวิตความเป็นอยู่ หางานอเมริกา สถานที่ เที่ยวอเมริกา สำหรับคนไทยที่มีเป้าหมายในอเมริกาไม่ควรพลาด
Author: Supakon, Intercultural Consulting and Services LLC